30 กันยายน 2559

" นอกเหตุเหนือผล"

ถ้าอยากปล่อยวาง อย่าอ้างเหตุผล 

ต้องอยู่เหนือเหตุเหนือผล วางเหตุผลไปก่อน

เพราะถ้าเรายึดมั่นถือมั่นว่า เขาทำแบบนั้นไม่ดี 

ทำแบบนี้ไม่ถูก เขาทำร้ายเรา 

ก็ไม่มีวันเลย ที่เราจะอภัยให้เขาได้

แต่ถ้าเข้าใจหลักที่ว่า กรรมใครกรรมมัน ใครทำใครได้

เราทุกคนเป็นทายาทของกรรมที่เราทำไว้เอง

เราไม่ต้องโกรธ ต้องเกลียดใครหรอก

ส่วนหนึ่งที่เราโดนแบบนี้ นี่ก็ผลของกรรมเก่าเราเอง

ฉะนั้น ที่เขาทำกับเราอยู่ สักวันเขาก็จะโดนเองเหมือนกัน

เชื่อพระพุทธเจ้าท่านไว้เถอะ 

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

แล้วเราจะทำใจง่ายมาก อันไหนผลกรรมเรา เราก็รับ

ใครเขาอยากทำกรรมอะไร ปล่อยเขาไป ไม่ต้องแบกแทนเขา

อย่าแบกหน้าตา ยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวมีตนมาก

มันจะทนไม่ได้ ที่"ตัวกู" โดนนินทาว่าร้าย 

ถ้าเป็นแบบนี้ ก็ว่าเขาไม่ได้นะ 

เพราะที่ทุกข์อยู่ เพราะความยึดมั่นถือมั่นของเราเอง

ไม่ใช่เพราะใครพูดอะไร ว่ายังไง

คนเราไม่ได้ดีขึ้นหรือเลวลงเพราะคำพูดใคร

แต่เราดี เราเลว เพราะกรรมที่เราทำเองนี่แหละนะ


หลวงพ่อชา สุภัทโท

29 กันยายน 2559

มั่นใจในความดีงาม

                

                   การนึกถึงแต่สิ่งที่ดีงาม

              ทำให้เรางอกงามด้วยความสุข


              หมั่นระลึกถึงความดีที่เราทำไว้


       อนุโมทนาต่อความดีที่คนอื่นได้ทำบ่อยๆ

       ไม่สำคัญเลยว่าเธอจะหน้าตาแบบไหน ? ? 

 "เพราะท้ายที่สุดแล้ว..ทุกคนจะจดจำเราได้อยู่ดี"


                

                                    ารนึกถึงสิ่งดีงาม

                                  ทำให้เรางอกงามด้วยความสุข


                                    หมั่นระลึกถึงความดีที่เราทำไว้


                             อนุโมทนาต่อความดีที่คนอื่นได้ทำบ่อยๆ


                              ไม่สำคัญเลยว่าเธอจะหน้าตาอย่างไร 

                     "เพราะท้ายที่สุดแล้ว..ทุกคนจะจดจำเราได้อยู่ดี"


#มั่นใจในสิ่งดีงามที่เราทำ

#กลิ่นความดีจะหอมทวนลมขึ้นไปได้สุดตา
#หน้าที่เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่เรื่องของเราคิด
#ปล่อยวางบ้าง_ก็คลายใจ

24 กันยายน 2559


มองตนเองก่อน

เป็นเพราะลืมมองตน ผู้คนจึงมัก

สร้างปัญหาหรือมีส่วนทำให้
ปัญหาลุกลามขึ้นโดยไม่รู้ตัว  

ดังนั้นเมื่อใดที่คิดจะแก้ปัญหา  

ควรหันมาสำรวจตนเองก่อนที่
จะเรียกร้องหรือจัดการคนอื่น  
แม้แต่การช่วยคนอื่นก็เช่นกัน 
เพียงแค่ดูแลตนเองให้ดี
ก็สามารถช่วยคนอื่นได้มาก 
ภาษิตของพระพุทธเจ้าที่ว่า 
“เมื่อรักษาตน ก็เท่ากับรักษาผู้อื่น(ด้วย)”

พระไพศาล วิสาโล
#ทำไมเด็กคนหนึ่งจึงเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่กลัวที่จะมีความรัก

หมอคิดว่าความรักก็เหมือนสายฝน

ฝนอาจจะทำให้เกิดความชุ่มฉ่ำแก่พื้นดิน ทำให้แม่น้ำลำธารไม่เหือดแห้ง แต่ถ้าฝนพัดกระหน่ำก็กลายเป็นพายุที่นำมาซึ่งความเสียหาย

เด็กคนหนึ่งไปเล่นน้ำฝนกับเพื่อนๆ แต่วันต่อมาเขาก็จับไข้และเป็นหวัด

ทุกอย่างมีสองด้าน แต่การที่จะไปบอกว่าฝนมีแต่ข้อเสีย จนทำให้กลัวที่ฝนจะตกก็ออกจะเกินไปสักหน่อย

มีคนบางคนที่มองเห็นแต่ด้านร้ายๆของความรัก จนกลัวที่จะมีความรัก คิดว่าความรักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ทำให้กลัวอย่างจริงจัง ทำให้มีปัญหาเวลาที่จะสร้างสัมพันธภาพกับใครสักคน

ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คนๆหนึ่งจะเกิดความรู้สึกกลัวที่จะมีความรักหรอก ทุกอย่างมีที่มาที่ไป

.

ประสบการณ์แย่ๆเกี่ยวกับความรักที่ผ่านมา มีผลต่อมุมมองเกี่ยวกับความรักของบางคน

หากเมื่อตอนเด็กๆ เขาพบเห็นการทะเลาะเบาะแว้ง ความห่างเหินเย็นชา ของพ่อแม่ เขาก็อาจจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่ไม่ศรัทธาชีวิตคู่

หากเขาเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้สึกถึงความรักและความเอาใจใส่ ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่น จากผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะไม่รู้สึกไว้วางใจ เขาก็อาจจะรู้สึกว่าขนาดคนที่ใกล้ชิดเขา (เช่นพ่อแม่) เขายังไม่สามารถไว้วางใจได้ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ จึงอธิบายได้ว่า เพราะอะไร คนๆหนึ่งจึงมองโลกในแง่ร้าย และมองความรักเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง เนื่องจากไม่เคยได้รับรู้ถึงการเป็นที่รักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร 

.

คนส่วนใหญ่รู้ว่าความรักมีทั้งด้านดีและไม่ดี แต่บางคนก็มองเห็นแต่ด้านร้ายๆ ทำใจยอมรับไม่ได้ ส่งผลถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เวลาที่ต้องสร้างสัมพันธภาพกับใครสักคน คล้ายๆกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นอยู่ตลอด 

เวลาที่ต้องใกล้ชิดกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คนรัก ก็มักจะกลัวว่าจะต้องผิดหวัง หรือเจ็บปวด หรือบางคนหากมีความรัก ก็อาจจะรู้สึกไม่มั่นใจในคนรัก ทำให้มีพฤติกรรมเรียกร้องที่ไม่เหมาะสมหลายๆอย่าง เช่น ทำร้ายตัวเองให้คนที่รักมาสนใจ เอาเข้าจริงๆก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมากขึ้น 

พ่อแม่และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดในวัยเด็ก จึงมีความสำคัญ ต่อมุมมองที่มีต่อโลกของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

พ่อแม่จะทำอย่างไรให้เด็กรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ว่าเขามีดีเพียงพอที่จะเป็นที่รักของใครสักคน และดีพอที่จะรักคนอื่น 

ต้องเริ่มมาจากความรู้สึกว่าพ่อแม่รักเขาอย่างปราศจากเงื่อนไข การได้เติบโตมาในบ้านที่ปลอดภัย ไม่มีความรุนแรง พ่อแม่เป็นที่พึ่งพาทางใจในเวลาที่ต้องการ และชี้แนะตักเตือนเวลาที่เขาทำผิดพลาด โดยไม่ลืมที่จะให้โอกาสและยอมรับในความเป็นเขา 

ประสบการณ์ในเวลาเป็นเด็กจะเป็นกำลังใจที่สำคัญ หากโตขึ้นไปเกิดผิดหวังในความรัก ก็เข้มแข็งพอที่จะเดินต่อและมีความรักครั้งใหม่

หากมองตัวเองดี เห็นคุณค่าในตัวเอง คนคนหนึ่งก็จะสามารถมองโลกในแง่ดีด้วยความเป็นจริงอย่างเหมาะสม สามารถสร้างสัมพันธภาพกับคนรอบข้างได้

ความรู้สึกว่าตัวเองมีดีเพียงพอที่จะมอบความรักให้คนอื่น และเป็นที่รักของคนอื่น ต้องมาจากความรักในตัวเองก่อนเสมอ


21 กันยายน 2559

สุขจากภายใน

..ชื่นชมสิ่งรอบตัว
..ชื่นใจสิ่งรอบข้าง

..ปล่อยวางสิ่งรอบด้าน
..ชื่นบานต่อสิ่งข้างใน

..คนอื่นสร้างปัญหาให้เราได้
..แต่คนอื่นสร้างทุกข์ให้เรา...ไม่ได้

..ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง
..จากเจ้าตัว..ความคิด..เอามาคิดจึงทุกข์

..รู้จัก "เงียบลงบ้าง" จะคิดเป็นมองเห็น
..ถ้าเงียบไม่เป็น...  ...  ...
"เราจะไม่ได้ยินเสียงทุกสิ่ง"ที่ผู้อื่นพูดเลย"

chutintharo

20 กันยายน 2559

There is no satisfaction that can compare 
    with looking back across the years 
    and finding you’ve grown 
    in self-control, judgment, generosity, and unselfishness.

    ไม่มีอะไรที่น่าพอใจมากไปกว่า
    การที่เรามองย้อนกลับไปในอดีต
    และได้พบว่าตัวเองเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
    ทั้งในเรื่องการควบคุมอารมณ์ การตัดสินผู้อื่น
    การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการไม่เห็นแก่ตัว

   


19 กันยายน 2559


ชีวิตที่ธรรมดา


ที่คนเราทุกข์ทุกวันนี้เพราะไม่เห็นความเป็นธรรมดาของชีวิต ธรรมดาของชีวิตย่อมมีทุกข์มีสุข สมหวัง ผิดหวังเป็นธรรมดา เวลาที่เราเผลอไปมองข้ามความธรรมดาก็จะเกิดความหลงไปกับความยินร้าย การทำความเห็นให้ถูกว่า ผลัดพรากจากของรักย่อมเสียใจเป็นธรรมดา ต้องพบกับสิ่งที่ไม่อยากพบย่อมไม่ชอบใจเป็นธรรมดา อยากได้แล้วไม่ได้ย่อมคับข้องใจเป็นธรรมดา หวังว่าจะพบเรื่องราวดีๆแล้วกลับพบเรื่องร้ายๆก็ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา เห็นแบบนี้แล้วความดิ้นรนทุรนทุรายย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นธรรมดาแล้วก็จะดิ้นรน สงสัย ถามทำไมถึงเป็นนี้? ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้? ทำไม? ทำไม? ฯลฯ แล้วก็ไม่มีคำตอบ มีแต่ความบีบคั้นใจ
ทำอย่างไรให้เห็นความเป็นธรรมดาของชีวิต?
คำตอบคือ ฝึกสติให้รู้ทันความยินร้าย คือความผิดหวัง ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เมื่อมีสติระลึกรู้ ไม่หลง จิตก็เป็นปกติ ไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรน ใจเป็นกลาง เข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิตอย่างแท้จริง

18 กันยายน 2559

♥จะต้องตั้งเป้าหมายไว้ให้ถูกต้องว่า
หน้าที่ของชีวิตเราที่แท้จริง
อยู่ที่ปฏิบัติให้เข้าถึงความดับทุกข์

♥แม้เรามีหน้าที่อย่างอื่น

ก็ทำไปตามหน้าที่
แต่ว่า..หน้าที่ของชีวิตจริงๆ
ต้องอยู่ที่การปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์

♥เรามีหน้าที่เป็นสามี เป็นภรรยา

เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครู เป็นอาจารย์ ฯลฯ
ก็ทำไปตามหน้าที่นั้นๆ
แต่ต้องรู้ว่า...หน้าที่ที่สำคัญของชีวิต
อีกอันหนึ่งก็คือ
การดับทุกข์ให้ตัวเอง

♥เรายังอยู่ในโลก อยู่ในสังคม

ก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ทางโลก
ไปตามสมมุติ
จะไปทิ้งหน้าที่อะไรทุกอย่างก็ไม่ได้
นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม

♥เมื่อยังต้องอยู่กับความถูกต้อง

ของโลกก็ต้องทำไป
คือต้องทำไปตามหน้าที่
ของการมีหน้าที่นั้นๆ

♥แต่สิ่งที่เราจะต้องเอาจริงเอาจัง

ต้องสนใจ ต้องเล็งเป้าหมาย
ไปให้ถึง..ก็คือ...
การเรียนรู้สภาพธรรมในตัวเอง
โดยการเจริญสติเจริญสมาธิ
ให้รู้แจ้งในตนเอง
จึงจะดับทุกข์ได้
ดับทุกข์ได้จากการที่เรา
รู้จัก-รู้แจ้งในตัวเอง และปล่อยวาง

♥การปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่า

จะสุดวิสัยจนเกินเอื้อม
เพราะว่าสิ่งที่เราจะทำ
มันก็อยู่กับตัวเรา
การงานต่างๆ ภายนอก
ยังอาจจะไกลกว่าด้วยซ้ำ

♥แต่การงานภายใน

การงานของการปฏิบัติธรรม
เพื่อความพ้นทุกข์นั้น
อยู่กับตัวเสมอ
ไปไหนก็ไปกับเราด้วย
นั่งอยู่ตรงไหน เดินอยู่ตรงไหน
เดินอยู่ตรงไหน ยืนอยู่ตรงไหน
ก็มีตัวอยู่อย่างนี้

♥มีกายมีใจ มีตา หู จมูก ลิ้น
มีเห็น ได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส
มีความตรึกนึก ปรุงแต่ง
ก็ให้ทำหน้าที่
ปฏิบัติตามดูตามรู้สิ่งเหล่านี้
ดูสิ่งเหล่านี้ไปทุกวันทุกเวลา
เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าติดตามไป
นี้คือเป้าหมาย คือหน้าที่
ที่เราจะต้องทำในชีวิตที่เกิดมา

..................

14 กันยายน 2559

ทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิต..
คือ ทักษะของการมีความสุข
......

1. ถ้าตอนนี้คุณไม่มีความสุข ในอนาคตคุณก็จะไม่มีความสุข เพราะมันคือนิสัยของคุณ นิสัยที่ชอบสร้างเงื่อนไขการมีความสุขให้ตัวเอง

2. หัดใส่ใจกับสิ่งที่คุณมี หรือข้อดีในชีวิต ตราบใดที่คุณมัวโฟกัสแต่สิ่งที่ยังไม่มี คุณจะไม่มีวันพบความสุข เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘มี’ อะไร แต่อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘เป็น’ คนยังไง (เป็นคนที่โหยหาแต่สิ่งที่ตัวเองขาด)ไม่สนใจคุณค่าของสิ่งที่
ตัวเองมีในมือ

3. ถึงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ความสุขคุณจะขึ้นมาแค่วูบเดียว หลังจากนั้นจะลดลงไปจุดค่าเฉลี่ยของคุณ แล้วคุณจะหันไปไขว่คว้า และทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่ได้ต่อไป เป็นวงจรไม่รู้จบ

4. คนที่รอความสุขจากคนอื่น น่าสงสารที่สุด “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเขาโทรมา” “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้งานใหม่” ... หารู้ไม่ ว่าความสุขนั้นสร้างเองได้เลย โดยไม่ต้องรอเงื่อนไขใดๆ และไม่ต้องรอใคร

5. พื้นฐานของการมีความสุขคือการชื่นชมในสิ่งที่คุณมี 

6. การบ่นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ได้ช่วยให้คุณสบายใจขึ้น กลับจะทำให้แย่ลง เพราะการเอามาเล่าใหม่ เป็นการฉายภาพนั้นซ้ำๆ อยู่ในหัว

7. โดยปกติความสุขมักอยู่ตรงหน้าคุณ แอร์เย็นๆ อาหารอร่อยๆ วิวสวยๆ แต่ใจคุณดันไปคิดเรื่องอื่นในหัว (เรื่องที่ไม่มีความสุข) ในตอนนั้นเอง แล้วก็ชอบมาบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุข (ตลกสิ้นดี)

8. ตราบใดที่คุณยังเป็นคนธรรมดา คุณจะยังเจอความทุกข์อยู่เรื่อยๆ จงหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองหาประโยชน์ทุกครั้งจากเหตุการณ์แย่ๆ แล้วคุณจะมีกำไรชีวิตมากกว่าคนอื่น

9. คนเราชอบอยู่ใกล้คนมีความสุข ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบบ่นแต่ปัญหาตัวเอง มองแต่ด้านร้าย เอาแต่ด่าคนอื่น คนอยู่ใกล้ๆ ประสาทจะกิน สุดท้าย จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะสั่งให้ค่อยๆ ห่างคุณไปโดยไม่รู้ตัว

10. ความสุขและการมองโลกในแง่ดีเป็นโรคติดต่อ จงอยู่ใกล้คนเหล่านี้เพื่อรับ และจงแพร่กระจายความสุขเพื่อให้คนอื่นต่อไป

11. ความสุขเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด และผลิตจากอากาศได้ทันที ดังนั้น ไม่ต้องกลัวคนอื่นแย่งความสุขไป ทุกคนสามารถมีได้มากเท่าที่ต้องการ

12 ความสุขและการมองโลกในแง่บวกเป็นทักษะ นั่นหมายความว่า คุณสามารถ “ฝึก” ที่จะเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่บวกได้

ทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิต..
คือ ทักษะของการมีความสุข
......

1. ถ้าตอนนี้คุณไม่มีความสุข ในอนาคตคุณก็จะไม่มีความสุข เพราะมันคือนิสัยของคุณ นิสัยที่ชอบสร้างเงื่อนไขการมีความสุขให้ตัวเอง

2. หัดใส่ใจกับสิ่งที่คุณมี หรือข้อดีในชีวิต ตราบใดที่คุณมัวโฟกัสแต่สิ่งที่ยังไม่มี คุณจะไม่มีวันพบความสุข เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘มี’ อะไร แต่อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘เป็น’ คนยังไง (เป็นคนที่โหยหาแต่สิ่งที่ตัวเองขาด)ไม่สนใจคุณค่าของสิ่งที่
ตัวเองมีในมือ

3. ถึงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ความสุขคุณจะขึ้นมาแค่วูบเดียว หลังจากนั้นจะลดลงไปจุดค่าเฉลี่ยของคุณ แล้วคุณจะหันไปไขว่คว้า และทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่ได้ต่อไป เป็นวงจรไม่รู้จบ

4. คนที่รอความสุขจากคนอื่น น่าสงสารที่สุด “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเขาโทรมา” “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้งานใหม่” ... หารู้ไม่ ว่าความสุขนั้นสร้างเองได้เลย โดยไม่ต้องรอเงื่อนไขใดๆ และไม่ต้องรอใคร

5. พื้นฐานของการมีความสุขคือการชื่นชมในสิ่งที่คุณมี 

6. การบ่นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ได้ช่วยให้คุณสบายใจขึ้น กลับจะทำให้แย่ลง เพราะการเอามาเล่าใหม่ เป็นการฉายภาพนั้นซ้ำๆ อยู่ในหัว

7. โดยปกติความสุขมักอยู่ตรงหน้าคุณ แอร์เย็นๆ อาหารอร่อยๆ วิวสวยๆ แต่ใจคุณดันไปคิดเรื่องอื่นในหัว (เรื่องที่ไม่มีความสุข) ในตอนนั้นเอง แล้วก็ชอบมาบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุข (ตลกสิ้นดี)

8. ตราบใดที่คุณยังเป็นคนธรรมดา คุณจะยังเจอความทุกข์อยู่เรื่อยๆ จงหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองหาประโยชน์ทุกครั้งจากเหตุการณ์แย่ๆ แล้วคุณจะมีกำไรชีวิตมากกว่าคนอื่น

9. คนเราชอบอยู่ใกล้คนมีความสุข ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบบ่นแต่ปัญหาตัวเอง มองแต่ด้านร้าย เอาแต่ด่าคนอื่น คนอยู่ใกล้ๆ ประสาทจะกิน สุดท้าย จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะสั่งให้ค่อยๆ ห่างคุณไปโดยไม่รู้ตัว

10. ความสุขและการมองโลกในแง่ดีเป็นโรคติดต่อ จงอยู่ใกล้คนเหล่านี้เพื่อรับ และจงแพร่กระจายความสุขเพื่อให้คนอื่นต่อไป

11. ความสุขเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด และผลิตจากอากาศได้ทันที ดังนั้น ไม่ต้องกลัวคนอื่นแย่งความสุขไป ทุกคนสามารถมีได้มากเท่าที่ต้องการ

12 ความสุขและการมองโลกในแง่บวกเป็นทักษะ นั่นหมายความว่า คุณสามารถ “ฝึก” ที่จะเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่บวกได้

การมีตัวตน

"การมีตัวตน"

ทุกๆคนย่อมเกิดมาอยากมีตัวตน 
ในสายตัวของคนอื่นแลสังคมทั้งนั้น 
เพราะสัญชาติญาณมนุษย์ 
คือการอยากถูกยอมรับ นับถือจากผู้อื่น 

จึงทำให้มนุษย์ ต้องพยายามสวย
 เพื่อให้คนอื่นยอมรับ
 ไม่ใช่ให้ตัวเองสวยแบบตนเอง

จึงใช้วิธีทำร้าย ข่มเหงคนอื่น 
ให้คนอื่นยำเกรง กลัว สร้างความเชื่อด้านอำนาจในจิตใจ 
จนกลายเป็นบ่มวิธีที่ทำให้คนอื่นยอมรับ
ในสิ่งที่ตนเองมี จากการอยากสร้างตัวตน

แต่ความสุข...ในการมีตัวตนจริงๆ คือ ความพอใจ ....
พอใจจากตนเอง ในชีวิตและการกระทำของตนเอง
 จนมาสู่การมองอย่างเป็นจริง 
ในการอยู่แบบเรา ไม่ใช่แบบเค้า 

การส้รางตัวตนที่แท้จริง 
จึงไม่มีความหมาย ที่แท้จริง ....

ความเรียบง่าย คือ ความพอใจ 
จึงเป็นการสร้างตัวตนแบบไม่เดือดร้อนใคร 
เพราะมาจากการไม่เดือดร้อนกาย 
เดือดร้อนใจของเราเองก่อน

พอใจเราดี ...มีพอ เราจึงจะเห็นความไม่มีตัวตน 
เป็นเพียงคำที่ไม่มีความหมายกับชีวิตเท่านั้นเอง                        


"สาราณียธรรม"
phra phattaraphon.

13 กันยายน 2559

"อย่าฝากตัวเรา...ไว้ที่ปากคนอื่น"

ไม่ว่าใครจะทำอย่างไร จะทำดีหรือเลวก็ตาม 

การกระทำของเขาก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้เรารู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เพราะความสุขและความทุกข์นั้น.....อยู่ที่การปรุงแต่งของใจเราเป็นหลัก 

แม้เหตุการณ์จะดี แต่เราไม่ชอบ เราก็ไม่สามารถมีความสุขกับมันได้  ในทางตรงกันข้าม ถ้าเหตุการณ์เลวร้าย แต่เราวางใจให้สงบนิ่งเฉยได้ เราก็ไม่ทุกข์ร้อนถ้าอยากมีความสุข ต้องหัดควบคุมใจของตนเอง ไม่ใช่คอยแต่จะควบคุมการกระทำของคนอื่นไม่มีใครทำให้เรา.....มีความสุขหรือทุกข์ได้

พระภัทรพล   ชุตินฺธโร

....  ....  .....  .....

"คำด่าที่เจ็บที่สุด"

ใจคนสะเทือนไม่เท่ากัน
ตัวตนยิ่งบางเบา
ความสั่นสะเทือนยิ่งน้อย
ตัวตนยิ่งหนาหนัก
ความสั่นสะเทือนยิ่งมาก

ถ้าอัตตามาก
แม้ถูกตำหนิดีๆหรือโดนตักเตือนเบาๆ
ก็จะเป็นจะตาย ฟาดงวงฟาดงา
ด้วยความรู้สึกราวโลกจะแตกให้ได้

แต่ถ้าอัตตาน้อย
แม้ถูกเล่นงานดังๆด้วยคำอันเป็นเท็จ
ก็รู้สึกขำๆ ขี้เกียจแก้คาวในปากใคร
ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ไป
หรือไม่ถ้าจำเป็นต้องแก้คาว
ก็แก้ด้วยของหวาน ไม่ใช่ด้วยพิษขม

การสำรวจตัวตนขณะถูกติเตียน
จะช่วยให้ให้คุณรู้จักตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ
อัตตาเบาบางลงได้เรื่อยๆ
อาจเริ่มจากการถามตัวเองง่ายๆว่า
เราเจ็บจากอะไรกันแน่?

ถ้าคำด่านั้นปวดแสบปวดร้อนเหมือนข้าวสารเสก
เพราะมันเป็น ‘เรื่องจริง’ 
แปลว่าคนด่าเลือกคำหรือใช้น้ำเสียงได้ผล
คือกระทบอัตตาของคุณให้แตกพังได้
ไม่ว่าจะล้อมกำแพงปกป้องไว้แข็งแรงอย่างไร
หรือแกล้งทำเป็นลืมๆมานาน
พูดง่ายๆว่า คำด่าของเขา
คือสิ่งที่แอบซุกใต้พรมภายในใจคุณอยู่ก่อน
เขาแค่เปิดพรมออกมา
เลยทำให้นึกขึ้นได้ด้วยถ้อยคำที่ชัดเจนเท่านั้น

คุณแค่ไม่อยากเห็นหน้าตัวเองผ่านกระจกเงา
โดยเฉพาะที่ยื่นมาจากมือคนอื่น!

แต่ถ้าคำด่านั้นเสียดแทงใจเหลือเกิน
เพราะเป็น ‘เรื่องไม่จริง
แปลว่าคุณแพ้ทางอารมณ์โง่ของมนุษย์
เขามีโทสะจนโง่พอจะด่าคุณแรงๆด้วยคำเท็จ
เขาพอกโมหะไว้หนาพอจะพูดแบบไม่รู้จริง
แต่คุณก็อุตส่าห์เก็บเรื่องไม่จริงไว้ในหัวจริงๆอีก

คุณแค่ฝึกตนน้อยไป
เห็นเขาโง่ก็ยอมโง่ไปกับเขา!

แปลกแต่จริง เมื่อจำแนกได้บ่อยๆว่า
คุณเจ็บจากคำด่าแบบไหนที่สุด
บางทีจะรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองต่างไป
รวมทั้งขี้เกียจเอาอะไรกับอัตตาให้มาก
มันก็แค่อาการปูดบวมขึ้นมาของจิตเป็นครั้งๆ
ทั้งฝั่งเขาฝั่งเรา ด้วยเหตุผลลึกซึ้งบ้าง ตื้นๆบ้าง
ไม่เห็นจะน่าต่อความยาว
สาวความเดือดร้อนเข้าหาตัวกันนานๆเลย!