31 ตุลาคม 2559

พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา, อะกุสะลา ธัมมา, อัพ๎ยากะตา ธัมมา ฯ กะตะเม ธัมมา, กุสะลา ฯ ยัส๎มิง สะมะเย, กามาวะจะรัง, กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ, โสมะนัสสะสะหะคะตัง, ญาณะสัมปะยุตตัง, รูปารัมมะณัง วา, สัททารัมมะณัง วา, คันธารัมมะณัง วา, ระสารัมมะณัง วา, โผฏฐัพพารัมมะณัง วา, ธัมมารัมมะณัง วา, ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ ตัส๎มิง สะมะเย, ผัสโส โหติ อะวิกเขโป โหติ, เย วา ปะนะ ตัส๎มิง สะมะเย, อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา, อะรูปิโน ธัมมา, อิเม ธัมมา กุสะลา 
ปัญจักขันธา, รูปักขันโธ, เวทะนากขันโธ, สัญญากขันโธ, สังขารักขันโธ, วิญญาณักขันโธ ฯ ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ ฯ ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, อัชฌัตตัง วา, พะหิทธา วา, โอฬาริกัง วา, สุขุมัง วา, หีนัง วา, ปะณีตัง วา, ยัง ทูเร วา, สันติเก วา, ตะเทกัชฌัง, อะภิสัญญูหิต๎วา, อะภิสังขิปิต๎วา, อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ ฯ
สังคะโห อะสังคะโห ฯ สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง ฯ สัมปะโยโค วิปปะโยโค ฯ สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง, วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง, อะสังคะหิตัง ฯ
ฉะ ปัญญัตติโย, ขันธะปัญญัตติ, อายะตะนะปัญญัตติ, ธาตุปัญญัตติ, สัจจะปัญญัตติ, อินท๎ริยะปัญญัตติ, ปุคคะละปัญญัตติ ฯ กิตตาวะตา ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ ฯ สะมะยะวิมุตโต, อะสะมะยะวิมุตโต, กุปปะธัมโม, อะกุปปะธัมโม, ปะริหานะธัมโม, อะปะริหานะธัมโม, เจตะนาภัพโพ, อะนุรักขะนาภัพโพ, ปุถุชชะโน โคต๎ระภู, ภะยูปะระโต, อะภะยูปะระโต, ภัพพาคะมะโน, อะภัพพาคะมะโน, นิยะโต, อะนิยะโต, ปะฏิปันนะโก, ผะเลฏฐิโต, อะระหา อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน ฯ
ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ อามันตา ฯ โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ ฯ นะ เหวัง วัตตัพเพ ฯ อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล, อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ วะตะ เร, วัตตัพเพ โย สัจฉิกัตโถ, ปะระมัตโถ ตะโต, โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ ฯ มิจฉา ฯ
เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, สัพเพ เต กุสะละมูลา ฯ เย วา ปะนะ กุสะละมูลา, สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา ฯ เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา ฯ เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา 
เหตุปัจจะโย, อารัมมะณะปัจจะโย อะธิปะติปัจจะโย, อะนันตะระปัจจะโย สะมะนันตะระปัจจะโย, สะหะชาตะปัจจะโย อัญญะมัญญะปัจจะโย, นิสสะยะปัจจะโย อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ปุเรชาตะปัจจะโย ปัจฉาชาตะปัจจะโย, อาเสวะนะปัจจะโย กัมมะปัจจะโย วิปากะปัจจะโย อาหาระปัจจะโย อินท๎ริยะปัจจะโย ฌานะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย, สัมปะยุตตะปัจจะโย วิปปะยุตตะปัจจะโย, อัตถิปัจจะโย นัตถิปัจจะโย, วิคะตะปัจจะโย อะวิคะตะปัจจะโย ฯ


...."มองปัญหาที่ตัวเรา"....

เวลามีปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากคนอื่น

อย่าตั้งคำถามว่า "ทำไม"

ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

ทำไม?........ทำไม?

........      ...............

คนที่ทำ เค้าทำจบไปแล้ว 

เขาเลิกคิดเรื่องนี้ไปทำเรื่องอื่นแล้ว

ถ้าเรามัวแต่คิด เพื่อหาคำตอบ

โดยไม่ได้ถาม

ยังไงเราก็ไม่ได้คำตอบ

..........     .................

แทนที่จะถามว่า "ทำไม"

ลองเปลี่ยนคำถามดีไหมนะว่า

แล้วเราควรทำยังไง?

คำถามนี้เราจะได้หาวิธีการแก้ปัญหา

หรือ

ถามตัวเองว่า เราคิดว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้

คำถามนี้จะทำให้เราเห็นช่องว่างที่เราควรปรับปรุง

..............     ...................

อย่าให้คำว่า ทำไม 

ทำให้เราเกิดปัญหา

เราควรเลือกใช้คำถามที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง

แล้วมั่นใจในศักยภาพตัวเอง

ว่าเราหาคำตอบและแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้


สาธุธรรม

พระภัทรพล ชุตินธโร

30 ตุลาคม 2559

ขอบคุณความทุกข์

+ + + ขอบคุณความทุกข์ + + +

ความทุกข์....แม้เพียงน้อย
แต่ก็คงไม่มีใครอยากประสบ
แต่เมื่อความจริงของชีวิตนี้
เราต้องอยู่กับ"สิ่งก่อทุกข์" ตลอดเวลา
้.........    ..........    ...........
เธอเคยตั้งข้อสังเกตไหม ?
ความทุกข์ ความเจ็บปวด มันมักจะมาก่อนความสุขเสมอ
ยิ่งถ้าทุกข์มาก มันจะยิ่งเจ็บปวดมาก
แต่ถ้าเราสามารถก้าวผ่านมันมาได้
ก็ยิ่งทำให้มีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
นั่นก็เป็นเพราะว่า...เจ้าความทุกข์นั้น
มักจะเป็นบทเรียนที่มีคุณค่ายิ่ง
..........    ...........     ..............

+ + + มันสอนอะไรให้เรา + + +

สอนให้คนที่เคยล้ม....ให้รู้จักระมัดระวัง
ตริตรองให้ดีกับสิ่งที่เคยทำให้เราเจ็บ
เป็นบทเรียนที่ช่วยสั่งสอนให้คนเรา
........รู้จักดำรงอยู่ตามวิถี.........

เพื่อเอาชนะความทุกข์อันเจ็บปวด ที่มีเข้ามาและเคยผ่านมาแล้วได้
ผู้ที่ผ่านความทุกข์มาอย่างโชกโชน
จะกลายเป็นนักเจ็บปวดผู้ยิ่งใหญ่
มักจะเป็นผู้มีความสุขมากที่สุด
แม้จะพบพานความสุขเพียงเล็กน้อย
ในความรู้สึกของคนทั่วไปก็ตาม
............     ...............     ............
รุ่งอรุณของความสุขที่สงบในใจ
ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเข้มแข็ง

สาธุธรรม @พระภัทรพล ชุตินธโร
( 30 ตค. 2559 )

วางใจให้เป็น...เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ

"ตื่นรู้ที่ตัวเรา...
การอยู่กับคนที่เราไม่ชอบ"

ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบใครสักคนหนึ่ง แต่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน
ในสถานที่หรือในที่ทำงานเดียวกัน หากถามว่าควรจะวางตัวอย่างไรดี
ให้มีความสุขได้ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกัน

==========================
วิสัชนา โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่ง ก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ ไปมัวหลับๆ ตื่นๆ อยู่ในความรัก โลภ โกรธ
หลง หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านาย ใส่ไคล้ลูก
น้อง ปกป้องภาพลักษณ์ ( อัตตา ) กด ( หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตน
ควรทำอย่างแท้จริง !?!

คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณ พงศ์ เขียน บทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง
ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่ำคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่า ด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตก
เป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส
กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไป
ไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อ
ทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง? คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขาจิตใจของเราก็เร่าร้อนหม่นไหม้
เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่น ก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึก
อะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วย
ความหงุดหงิด ขัดเคือง และอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า....สภาพจิตใจแบบนี้
ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมอง โลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่
มีใครดีพร้อมหรือไม่ดีไม่มีที่ติไปเสีย
ทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียว ก็จะล้มหายตายจากกันไป
หมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบ  ก็รีบทำเถิด ปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้น ไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่
มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับใจตัวเอง '' กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก...แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับ
เข้ามา '' มองด้านใน... แก้ไขที่ตัวเอง"

อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่นเพราะ
ยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห ยิ่งเราให้ความ
สำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น
วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรา
รู้สึกไม่ดี หรือเป็นปฏิปักษ์ ก็คือ

"การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่กับเรา
ทุกขณะ"

*แล้วเราจะเป็นผู้ที่เป็นสุขที่สุดไม่ว่าที่ใด*

^สาธุธรรม..
Phra Phattaraphon Chutintharo

อย่าเปรียบเทียบใครกับใคร


โยมเคยถูกเปรียบเทียบ ...หรือ เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นป่าวครับ?

#เราถูกเปรียบเทียบตั้งเเต่ยังเป็นนักเรียน
"เรียนดีต้องมีลำดับที่ 1 2 3""เข้าเเถวต้องเรียงตามลำดับใหล่" ฯลฯ
#พอเข้าวัยทำงาน ..."เราทำงานอยู่ระดับใหน? 1,2 หรือ 3""ทำไมเค้ามีแต่...เราไม่มีเหมือนเค้า?" ฯลฯ

หนังสือหรือคำสอนของครูทั้งหลายมักบอกเสมอ..."จงอย่าเปรียบเทียบ หรือ เเข่งขันกับใคร?"
อาตมาอ่านไปก็ไม่เชื่อ...บางทียังแอบเถียงในใจเลย"คงง่ายกว่าถ้าไม่ได้อยู่โลกแห่งความจริง"

#เราจะรู้สึกดีได้ถ้า..."เราเปรียบเทียบแล้วเหนือกว่าเค้า"!!
#และจะรู้สึกเเย่ถ้า..."รู้ว่าเค้าเหนือกว่าเรา"

แต่ถ้าโยมเป็นคนเดินดิน กินข้าวแกง 

เงินเดือนไม่เเพง...ก็คงจะเข้าใจทั้งหมดที่อาตมาพูด

เราทุกคนอยู่ในโลกของการเเข่งขันหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้... แต่เราต้อง
"#รักษาความสุขของเราไว้เสมอ"

#ความสุขของเรา คือ..."การไม่เอาคุณค่าของคนอื่นมาเทียบกับตัวเรา"
#เปลี่ยนวิธีมองโลก โดยไม่เปรียบเทียบ หรือ เเข่งขัน กับใคร
#แต่จะเเข่งขัน... กับมาตรฐานของตัวเราเอง 

คือ พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้เสมอ !!!




เข้าใจว่า... โลกนี้ไม่สวยงามเสมอไปแต่... การมองโลกด้วยความเมตตา
#สามารถทำให้เรามองโลกไม่สวยงามนี้ให้สวยงามได้เสมอ
เเค่เราเปลี่ยนมุมมองจากภายในมุมมองภายนอกเราจะเปลี่ยนตามทันที
#เเต่บางคนเห็นต่าง... กับเรื่องนี้ทางแก้ คือ จงอย่าโต้เถียงครับ !
เพราะ..."#มนุษย์ถือตำราความจริงกันคนละเล่ม"ทุกคนถูกหมด...ไม่มีใครผิดที่คิดเเบบนี้
เพราะสถานการณ์ภายนอกสะท้อนสถานการณ์ภายใน
และเมื่อโยมมองว่าโลกนี้ดีงามแล้วโลกนี้ก็จะดีตามสายตาที่เรามองนะ




......อนุโมทนาธรรม
......พระภัทรพล ชุตินธโร (30-10-59)



อคติ

คนโง่กับอคติ๔
คนโง่จะใช้อคติแทนเหตุผล
.....................
อคติ แปลว่า ไม่ใช่ทางไป ไม่ใช่ทางเดิน คือทางที่ไม่ควรไป ไม่ควรเดิน ในภาษาไทยหมายความถึง ความลำเอียง ความไม่ยุติธรรม ความไม่เป็นธรรม

อคติ...เป็นธรรมชาติของมนุษย์...ปุถุชน ซึ่งจะต้องมีอยู่ด้วยกันทุกคน เพราะปกติคนเราจะทำอะไรก็ตาม มักจะคิดถึงประโยชน์ของตนเอง ญาติพี่น้อง หรือพวกพ้องก่อนเสมอ ซึ่งการกระทำในลักษณะเช่นนี้ เป็นสาเหตุให้ความถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง
สิ่งที่ถูกต้องบางทีมันจึงไม่ถูกใจ
ทำให้ความผิดอยู่เหนือความถูกอยู่บ่อยๆ

พระพุทธศาสนาแบ่งอคติออกเป็น 4 ประเภท

1. ฉันทาคติ ความละเอียงเพราะความรักใคร่ หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะอ้างเอาความรักใคร่หรือความชอบพอกัน ซึ่งมักเกิดกับตนเอง ญาติพี่น้อง และคนสนิทสนม การแก้ฉันทาคติ ต้องทำใจให้เป็นกลาง โดยการปฏิบัติต่อทุกคนให้เหมาะสมเหมือนๆกัน

2. โทสาคติ ความละเอียงเพราะความไม่ชอบ เกลียดชัง หรือโกรธแค้น หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะความโกรธ หรือลุอำนาจโทสะ การแก้ไขโทสาคติ ทำได้ด้วยการทำใจให้หนักแน่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพยายามแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกัน

3. โมหาคติ ความละเอียงเพราะความไม่รู้ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หมายถึง การทำให้เสียความรู้สึกธรรมเพราะความสะเพร่า ความไม่ละเอียดถี่ถ้วน รีบตัดสินใจก่อนพิจารณาให้ดี วิธีแก้ไข ทำด้วยการเปิดใจให้กว้าง ทำใจให้สงบ มองโลกในแง่ดี และยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น

4. ภยาคติ ความละเอียงเพราะความกลัว หมายถึง การทำให้เสียความยุติธรรม เพราะมีความหวาดกลัว หรือเกรงกลัวภยันตราย วิธีแก้ทำได้ด้วยการพยายามฝึกให้เกิดความกล้าหาญ โดยเฉพาะความกล้าหาญทางจริยธรรม คือ กล้าคิด กล้าพูดในสิ่งที่ดีงาม

อคติเป็นทางที่ไม่ควรปฏิบัติ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง โดยการพิจารณาถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมา หากพิจารณาว่าเรากำลังมีจิตใจลำเอียง ก็ให้ปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองใหม่ให้ตรงกันข้าม คือความไม่ลำเอียง

โดยปกติคนเราชอบความซื่อสัตย์
ความยุติธรรม และเกลียดความลำเอียง วิธีการที่เราจะสร้างความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม และหลีกเลี่ยงความลำเอียงได้นั้น  มีวิธีเดียวที่ทำได้ คือ "ฝึกฝนจิตใจ"

โดยถือหลัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราเกลียดความอยุติธรรมอย่างไร
เราไม่ชอบทำอะไรหรือใครทำกับเราอย่างไร
คนอื่นก็เช่นเดียวกับเราเช่นกัน
...................

29 ตุลาคม 2559

หากพรุ่งนี้ไม่มี"เรา"

"ซ้อมตาย"
การฝึกเจริญ"มรณานุสสติ"
เป็นเรื่องที่ควรตระหนักรู้ไว้นะ
เป็นเวลาที่สำคัญ...เป็นเวลาของชีวิต
ที่เราจะได้สัมผัสรับรู้กับ....มหายใจ

ลมหายใจนี้เอง..
ที่นำชีวิตมาให้เรา และอยู่คู่กับเรา
มาตั้งแต่ลืมตาดูโลก 
และลมหายใจนี่แหล่ะที่จะสิ้นสุดไป
พร้อมๆ กับชีวิตของเรา...

เราทุกคนมาโลกนี้เพียงแค่ชั่วคราว 
สักวันหนึ่งเราก็ต้องละจากโลกนี้ไป 
ไม่มีใครรู้ว่า เราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร

คืนนี้ !!! อาจจะเป็นคืนสุดท้ายของเราก็ได้
พรุ่งนี้อาจจะไม่มี"เรา"อีกต่อไป
ถามตัวเองบ้างหรือยัง...
เราจะทำเช่นไร?
พร้อมที่จะ"จากไป" ด้วยท่าทีแบบไหนดี??

เหตุใดเราจึงไม่พร้อมจากไป
เรารู้ตัวว่ากำลังของสติยังไม่มากพอ
ที่จะเผชิญกับเวทนา "เพราะไม่เคย"
และใจที่รับรู้ว่าตนเองยังมีภาพในหัว
ภาพของคนที่เป็นห่วง มีภาระ ห่วงลูก 
ตามประสาพ่อแม่
อยากทำหน้าที่ การงาน อยากทำความดี
รู้เช่นนี้แล้ว...จะรอให้ไม่มีโอกาสได้ทำ
หรือควรรีบทำให้ลุล่วงกันดีล่ะโยม !?!.
#เป็นมิตรกับความตาย
เพราะความตายกับเรา......พูดกันได้
.เจริญธรรม

พระ ภัทรพล ชุตินฺธโร: นานแค่ไหน...ที่เราลืม

พระ ภัทรพล ชุตินฺธโร: นานแค่ไหน...ที่เราลืม: #นานแค่ไหนแล้วนะ! โลกหมุนไปเรื่อยๆไม่เคยหยุดนิ่ง  ดั่งหัวใจเราเองที่ไม่เคยหยุดเต้น ตั้งแต่ลืมตามาดูโลกใบนี้ สาละวนอยู่กับการงาน  หาเงิ... บทความธรรมะเพื่อการตื่นรู้การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกในการเป็นจิตอาสาเยี่ยมไข้ผู้ป่วยระยะสุดท้าย กลุ่มคิลานธรรมหลักธรรมะกับการดำรงชีวิต

นานแค่ไหน...ที่เราลืม


#นานแค่ไหนแล้วนะ!

โลกหมุนไปเรื่อยๆไม่เคยหยุดนิ่ง  ดั่งหัวใจเราเองที่ไม่เคยหยุดเต้น
ตั้งแต่ลืมตามาดูโลกใบนี้
สาละวนอยู่กับการงาน 
หาเงินเลี้ยงครอบครัวเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
จนร่างกายเริ่มทรุดโทรม

นั่นเพราะเรายังไม่เคยให้อาหารทางใจกันเลย
ดังนั้นวันใดที่ว่าง..ก็หมั่นเข้าวัดรักษาศีลบำเพ็ญกุศล เจริญภาวนาพักจิตพักใจกันบ้างนะ
นานแค่ไหนแล้วที่เราทั้งหลายไม่ได้เข้าวัดกัน
เพราะหลงติดอยู่กับมายาภายนอกทางโลก
จนลืมมุมสงบของชีวิตภายใน

นานแค่ไหนแล้วที่เราลืมไปสนิทใจ
ว่าเราได้ใช้ชีวิตไปค่อนชีวิตแล้วนะ
แต่ก็ยังคิดไม่ตก..ปลงไม่ได้..วางไม่เป็น ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีเวลาให้ตัวเองบ้างนะ
"ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ"

เจริญธรรม
พระภัทรพล ชุตินธโร
28-10-59

ใจของผู้ให้

"เมื่อตั้งจิต....คิดจะเอา

เราจะมอง...คนอื่นเป็นคู่แข่ง

แต่เมื่อเรา....คิดจะให้

เราจะมอง...เขาอย่างเข้าใจ

เกิดเป็นเมตตากรุณาภายใน

ที่เบิกบานและงดงาม"

28-10-59
พระภัทรพล ชุตินธโร

26 ตุลาคม 2559

สุขแห่งการให้

."ผู้...ให้...ที่...สงบ...สุข...แท้...จริง.
#หัวใจของการเป็นผู้ให้ยิ่งใหญ่เสมอ

การที่เราคิดจะให้อะไรใครนั้น
หากเป็นความปรารถนาอันดีงาม
และเป็นประโยช์ต่อหมู่คนส่วนรวม ก็ไม่เห็นต้องไปคิดอะไรมากเลย ไม่ต้องคาดหวังว่า...เราจะได้อะไรคืนมาไหม?

#เหมือนกับเวลาที่เราให้อาหารปลาหน้าวัด เราไม่เห็นต้องอยากรู้ว่าตัวไหนได้กิน
หรืออยากว่ายตามมันลงไปด
ูว่าปลามันจะกินอาหารที่เราให้มันไปไหม.

อยากให้อะไรกับใครก็ให้ไปเถิด
แต่ให้รู้ตัวเองเสมอว่าสิ่งที่เราจะให้ไปนั้น
เราสร้างขึ้นมาจากความรักและปราถนาดี
ต่อผู้อื่นด้วยความสุขที่เห็นเขามีความสุข
เท่านี้ภายในใจเราก็เบิกบานเกินพอ..

.#สาธุธรรม😊♥️ชุตินฺธโร นาม
( 26- 10 - 59 ).

ธรรมนิยาม

.ธรรมนิยาม

ในทำนองเดียวกันนี้ ธรรมนิยามย่อมคลุมเอานิยามอื่นๆ ไว้ทั้งหมด เช่นถ้าจะพูดอย่างนี้ก็พูดได้ คือ เป็นธรรมดาของฤดูกาล ที่จะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปเช่นนั้น เป็นธรรมดาที่คนเมื่อจิตโกรธ ย่อมจะมีกิริยาวาจาที่เปลี่ยนไปจากปกติ เป็นธรรมดาที่คนทำดีย่อมจะได้รับผลดี ทำชั่วย่อมจะได้รับผลชั่ว และเป็นธรรมดาที่ใบไม้เป็นใบไม้อ่อนแล้วก็แก่แล้วก็เหลืองแล้วก็หล่น ถามว่าทำไมใบไม้ต้องเปลืองแล้วก็หล่น ตอบว่า ธรรมดามันเป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่าเป็นธรรมนิยาม

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในธรรมนิยามสูตรว่า

.อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ.
ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดก็ตาม

.ฐิตา ว สา ธาตุ ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา.
ธาตุนั้น สิ่งนั้นก็ดำรงอยู่อย่างนั้น เป็นธรรมดาที่ดำรงอยู่อย่างนั้น สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

.สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา. ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา รวมทั้งนิพพานด้วย นี่เป็นธรรมนิยามที่ชัดเจน พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

.ตํ ตถาคโต อภิสมฺพุชฺฌติ อภิสเมติ. ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้รู้ เป็นผู้แทงทะลุธรรมนิยามนั้น ครั้นรู้แล้วก็เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ธรรมดามันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ตถาคตจะเกิดหรือไม่เกิดก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบ ไม่ใช่ผู้แต่ตั้ง ธรรมดาเหล่านั้นขึ้น เป็นแต่เพียงผู้ค้นพบ แล้วตรัสบอกให้คนทั้งหลายได้รู้ทั่วกันว่า ความจริงมันเป็นอย่างไร. ==================== .พุทธพจน์ตรัสสอนเกี่ยวกับธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ ใน อุปาทสูตร ไว้ดังนี้ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ~ สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง (อนิจจัง - อนิจจตา) สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา ~ สังขารทั้งปวง คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขัง - ทุกขตา) สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ~ ธรรมทั้งปวง ไม่เป็นตัวตน (อนัตตา - อนัตตตา).

24 ตุลาคม 2559

ทำดีเพื่อพ่อหลวง

คนปลายซอย
จันทร์ที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๙

@ปรากฏการณ์"บอกอนาคตชาติ"@

๑๒ วันแล้ว....นับจากวัน"ฟ้าคืนสู่ฟ้า"ลองทบทวนกันดูซิว่า เราเห็นอะไรบ้าง?
นอกจาก"รัก-อาลัย"ทั้งจากชาวไทยและชาวโลกแล้ว
ยังมีอะไรอีก?
"รักสามัคคี-ทำดีเพื่้อพ่อ"เห็นเป็นรูปธรรม นั่นไง
แล้วอะไรอีก?
คนเป็นแสนๆเฉพาะสนามหลวง รวมเป็นล้านๆจากทั่วประเทศ ร่วมร้องเพลง"สรรเสริญพระบารมี"เป็นปรากฎการณ์โลก นั่นไง
แล้วอะไรอีก?
คนเป็นแสนๆต่อวัน"ผู้ให้"มากกว่า"ผู้รับ"เป็นปรากฏการณ์โลก นั่นไง
แล้วอะไรอีก?
นอกจากตั้งจิต"ทำดีเพื่อพ่อ"แล้ว อีกส่วนหนึ่ง ยังเหมือนตั้งจิต"เลิกทำชั่วเพื่อพ่อ"ด้วยเหมือนกัน จะเห็นช่วงนี้..บ้านเมืองสงบ-เรียบร้อย ไม่มีอาชญากรรมร้ายแรงใดๆเกิดขึ้น แม้กระทั่้งการ ฉก-ชิง-วิ่งราว ก็แทบไม่ปรากฏในหมู่คนไทยกว่า ๖๕ ล้านคน......เหลือ"เศษคน"แค่ไม่กี่เศษ"นับหัว-นับชื่อ"ได้ ที่ซุกอยู่นอกประเทศ ก่อกรรมทุราจาร" เป็นไฟเผา"โคตรเหง้า-เผ่าพงษ์"ตัวเอง! ถ้าจะแจกแจงทั้งหมด เกรงว่าโลกจะไม่มีเวลาให้ถึงขนาดนั้น  เอาเป็นว่า สิ่งดีทั้งหลาย
ที่สะท้อนจากคนไทย-ประเทศไทย ออกไปเป็น "ปรากฎการณ์โลก"เวลานี้ สรุปได้คำเดียว คือ
"รัก"! เป็นรัก"ตามรอยพ่อ"ที่ถูกทาง "รักแบบพ่อ" คือ......."รักต้องให้" ให้ความเมตตาผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น ให้ความปรารถนาดีผู้อื่น เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้ผู้อื่น
รักแบบนี้แหละ คือ"รักสามัคคี"ตามที่พ่อสอน
เป็นรักทำให้ชาติรอด พี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันทุกคนรอด ตามพระบรมราโชวาท ที่ว่า
"......... ถ้าหากเมืองไทยไม่ใช้ความสามัคคี ไม่เห็นอกเห็นใจกัน ไม่อะลุ้มอล่วยกัน ไม่มีวันที่จะมีชีวิตรอดได้"
แต่ยังมีอีกสิ่ง ที่ผมถอดรหัส"รักตามรอยพ่อ" นั่นคือ ด้วย"เมล็ดพันธุ์แห่งรัก"ที่พ่อเพาะไว้ จะแตกโตเป็น "อนาคตสังคมชาติ"น่าตื่นตา-ตื่นใจ จนสามารถพูดด้วยความมั่นใจเกินร้อยได้ว่า.......
ด้วยกล้าพันธุ์"ลูกพ่อหลวง"
ประเทศไทยในอีก ๑๕-๒๐ ข้างหน้า จะยิ่งใหญ่เป็นเอกลักษณ์ และมากมายด้วยความหมาย"ไทยรุ่งเรือง มั่งคั่ง" ปัจจุบัน พวกอ้างประชาธิปไตยล้มชาติ เท่าที่เห็นอยู่ จะเหลือค่า ๒ อย่าง ระหว่างปุ๋ยคอก กับการ์ตูนขายหัวเราะ!  ฉะนั้น นับแต่นี้ .....ใครก็อย่าไปเสียเวลาด้วยการให้ค่ากับบุคคลประเภท"เปลี่ยนระบอบ-ล้มสถาบัน"อยู่เลย
เพราะวันนี้...เห็นชัด จะพูดว่า"ในรอบร้อยปี"ก็ไม่ผิด จากปรากฏการณ์
"อาสาทำดีเพื่อพ่อ"!
คำนี้ใครตั้ง......?
ไม่มีใครตั้ง หากแต่"ความรัก"ของลูกที่มีต่อ"พ่อ"ผลิดอกกตัญญู-กตเวทีขึ้นกลางจิตสำนึกแต่ละคน
จนเป็นปรากฏการณ์ งาน"พระบรมศพ"คนเป็นแสนๆที่มา ไม่ได้มาเป็นแขก แต่มาประหนึ่งเจ้าภาพ
ต่างคนต่างช่วยเหลือ ต้อนรับ ดูแลซึ่งกันและกัน
นอกจากเป็นเจ้าภาพร่วมแล้ว ยังมาเป็นแรงงาน"ช่วยงาน"พระบรมศพโดยไม่มีใครเรียกร้อง และไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ
แต่ละคน สามารถทางไหน ทำอะไรได้ ช่วยอะไรได้ เสนอตัว"อาสาทำดีเพื่อพ่อ"ทันที
กระทั่งมอเตอรไซด์ รถแท้กซี่ รถเมล์ รถโดยสาร ล้างถ้วย-ล้างจาน เก็บกวาดถนน เดินเก็บขยะ แจกน้ำ แจกยา แจกอาหาร ปฐมพยาบาลคนเจ็บป่วย โบกรถ ทำป้าย ฯลฯ
ไปทางไหนๆ มีแต่น้ำใจ มีแต่ให้ มีแต่อาสา มีแต่ช่วยเหลือ มีแต่ความรัก-ความสามัคคี ทุกคนพี่น้องไทย"ลูกพ่อหลวง"ด้วยกันทุกคน
ด้วยสำนึกในสิ่งพ่อเพียรสร้างให้ลูกมา ๗๐ ปี
"กตัญญู-กตเวที"จึงเป็นความงดงามที่"คนทั้งโลก"ทึ่ง ในความหมายว่า  "ทำไม คนไทยจึงรัก-เทิดทูน-บูชา"พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช"ได้มากมายขนาดนี้?
ไม่เคยปรากฏ....
นิสิต นักศึกษา ในชุดสถาบัน จากหลายๆสถาบัน รวมใจมากันเอง อาสาทำดีเพื่อพ่อ
ถือถุงดำเก็บขยะตามถนน ตามท้องสนามหลวง
สละเงินกันเอง ซื้อขนม ซื้อยา ซื้อพัด ซื้อน้ำ มาแจกจ่าย ฯลฯ
ไม่เคยปรากฏ....
นักเรียนอาชีวะ หรือที่เรียก"นักเรียนช่างกล"จะประกาศ"เลิกตีกัน"ถาวร ด้วยจิตสำนึกของแต่ละคน โดยไม่มีใครบังคับ นับแต่นี้ไป
ไม่เคยปรากฎ....
นักเรียนมัธยม ในชุดนักเรียน จะรวมตัว-รวมกลุ่ม"มากันเอง"เป็นจิตอาสา ทำทุกอย่าง เสิร์ฟน้ำ-เสิร์ฟอาหาร เดินเก็บขยะ ช่วยคนเฒ่า-คนแก่
ไม่เคยปรากฏ.....
ชาวบ้านเป็นรายบุคคล ทำขนมมาจากบ้านบ้าง ซื้อหายาดม-ยาหม่องบ้าง
เรียกว่าใครมีอะไร ก็หอบติดตัวมาช่วยงานพระบรมศพ ว่างั้นเถอะ
ไม่เคยปรากฏ....
จะมีคนมาตั้งโรงทานมากมายขนาดนี้ ถึงขนาดว่า มาสักการะพระบรมศพกันเป็นแสนๆคนในแต่ละวัน 
แต่คนรับ...แพ้คนให้!
จนพูดได้ยินไปทั้งโลกว่า.....มางานพระบรมศพพ่อ ไม่ต้องเอาตังค์มาซักบาท ก็กินอิ่ม-นอนหลับได้สบาย
ไม่เคยปรากฏ.....
ศิลปิน นักแสดง ทุกหมู่เหล่า จะมาร่วมพี่น้องประชาชนเป็นน้ำหนึ่ง-ใจเดียวกัน มาช่วยงานกัน ชนิดไม่มีใครห่วงสวย หรือกรีดจริต
และไม่เคยปรากฎ..........
เด็ก ๓-๔ ขวบ จะร้องไห้ สะอึก-สะอื้น เมื่อทราบข่าว"ในหลวง"สวรรคต พลางร้อง
"อยู่กับหนู...อย่าทิ้งหนูไป"!
นี่คือภาพกว้าง ที่ผมตามดูจากข่าวแต่ละวัน และเมื่อสรุปปรากฏการณ์ดังว่าทั้งหมด สิ่งตกผลึก คือ
ไม่น่าเชื่อ แต่จริงที่ปรากฏแล้ว คือ.......
เยาวชนไทย ตั้งแต่ ๓-๔ ขวบ จนไปถึง ๑๙-๒๐ ปี
ทั้งที่วัยนี้ ไม่มีโอกาสได้เห็น"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"และ"สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ"ทรงบุกป่าฝ่าดง ดูแลสุข-ทุกข์ราษฏร ทั้่งแผ่นดิน เหมือนที่รุ่นพ่อ-แม่เคยเห็นก็ตาม
ผู้ใหญ่มักพูดกันว่า........
"คนรุ่นใหม่"ไม่เอาสถาบัน
"คนรุ่นใหม่"ไม่รู้จักในหลวง
"คนรุ่นใหม่"มองว่า ประเทศไม่จำเป็นต้องมีระบบกษัตริย์
แต่ จาก ๑๒ วัน ที่ผ่านมา เห็นชัด......
ที่้พูดกันนั้น"ผิดหมด"!
ไม่อยากใช้คำว่า"ผู้ใหญ่ มองเด็กผิด"
แต่อยากใช้คำว่า"ผู้ใหญ่เมื่อวาน"ใช้จิตสำนึกทาสและความคิดแยกแยะต่ำ ไปประเมิน"เด็กวันนี้"!
ในจำนวนพสกนิกรนับแสนๆ ปรากฏว่า"คนรุ่นใหม่"ในสถานะต่างๆ ทั้งสถานะนักเรียน นักศึกษา และในอาชีพ-การงานอื่นๆ
มาร่วมงานสักกระพระบรมศพ มาเป็น"จิตอาสา"ทำดีเพื่อพ่อ มากจนถมทับ"คนรุ่นอดีต"จมหาย
เทียบง่ายๆ เมื่อครั้งกปปส.ชุมนุม ด้วยมวลชน ๓-๕ ล้านคน มีเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซักหมื่นก็ยาก
แต่งานพระบรมศพพ่อ เยาวชนคนรุ่นใหม่ เป็น"หน่ออนาคต"โดดเด่น-สะดุดตามาก
และทุกคนรู้.......
  ขึ้นชื่อว่า"วัยรุ่น"ถ้าไม่เต็มใจ-ไม่สมัครใจ อย่าหวังจะได้เห็นเช่นนี้ และที่สำคัญ ผมแอบปลื้มเอามากๆ
เยาวชนแต่ละคน พอนักข่าวสัมภาษณ์....
คำพูดจากใจ"จะฉาดฉาน ชัดเจน เข้าถึงแก่นนำมาซึ่งศรัทธาใน"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
ด้วยรับรู้ใน"สิ่้งที่พ่อสร้าง"
และนั่น ทำให้พวกเขาทั้งหลาย ออกมา"จิตอาสา"ตอบแทนพระคุณพ่อ
  คนรุ่นใหม่"รู้จัก-เข้าใจ"คำว่าในหลวง
และ"รู้จัก-เข้าใจ"ว่า.......
ความเป็นไทยกับระบบกษัตริย์ ต้องอยู่ด้วยกันจึงจะเป็นประเทศไทย!
ผมดูทิศทาง"อนาคตประเทศ"
จากบทบาท-ทัศนคติ"คนรุ่นใหม่"วันนี้ บอกได้คำเดียว"หมดห่วง-สบายใจ"
"คนรุ่นใหม่"จะโตไปพร้อมคำว่า"ไทยกับสถาบัน"