23 กุมภาพันธ์ 2560

ทำดีกว่าพูด

จงเป็นสิงโตที่เงียบ
อย่าเป็นสุนัขที่เห่าดัง
อยากทำอะไรให้สำเร็จ
ทำเลยไม่ต้องพูด
เพราะคนที่เอาแต่พูดว่า
จะทำโน่นทำนี่ให้สำเร็จ
มักได้แต่พูดแต่ไม่ได้ทำ

"ความสำเร็จ" พูด....ดังกว่าคุณ
และคำพูดของคุณจะไม่มีค่าอะไร
ถ้าคุณทำไม่สำเร็จ
คุณเสียเวลาพูดมานานแค่ไหนนะ
ถ้าเอาเวลานั้นไปทำอย่างที่พูด
คุณสำเร็จไปแล้ว

สิงโตจะเงียบเวลาจะ 'ล่า'
เพราะมันคิดว่าจะ'ล่า' ...จริง มันเก่ง...แกร่ง....กล้าแค่ไหน
โลกนี้รู้จักจากการล่าเหยื่อของมัน
ว่าไม่ใช่มาจาก 'เสียงขู่' ของมัน


จงเป็น'สิงโต'ที่เงียบ
อย่าเป็น'สุนัข'ที่เห่าดัง
อยากทำอะไรให้สำเร็จ
ทำโดยไม่ต้องพูด

ไม่ใช่พูดแต่ไม่ได้ทำ


21 กุมภาพันธ์ 2560

มหากัปปินะเถระ

 ได้ยินว่า ในอดีตกาล ท่านพระมหากัปปินะ มีอภินิหารได้ทำไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ.                 (เขา) ท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เกิดเป็นนายช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ในบ้านช่างหูกแห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี. ครั้งนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณพันองค์ อยู่ในหิมวันตประเทศ ๘ เดือน อยู่ในชนบท ๔ เดือนอันเป็นฤดูฝน.                 คราวหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นพักอยู่ในที่ไม่ไกลแต่กรุงพาราณสี แล้วส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๒ รูปไปยังสำนักพระราชาด้วยคำว่า "ท่านทั้งหลายจงทูลขอหัตถกรรมเพื่อประโยชน์แก่การทำเสนาสนะ."                 ก็ในกาลนั้น เป็นคราววัปปมงคลแรกนาขวัญของพระราชา.                 ท้าวเธอทรงสดับว่า "ได้ยินว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายมา" จึงเสด็จออกไป ตรัสถามถึงเหตุที่มา แล้วตรัสว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ วันนี้ยังไม่มีโอกาส, (เพราะ) พรุ่งนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะมีการมงคลแรกนาขวัญ, ข้าพเจ้าจักทำในวันที่ ๓ ไม่ทรงอาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไว้เลย เสด็จเข้าไปแล้ว.                 พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายคิดว่า "เราทั้งหลายจักเข้าไปสู่บ้านอื่น" หลีกไปแล้ว.                พวกบ้านช่างหูกทำบุญ                              ในขณะนั้น ภรรยาของนายช่างหูกผู้หัวหน้า ไปสู่กรุงพาราณสี ด้วยกิจบางอย่าง เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น นมัสการแล้วถามว่า "ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ามาในกาลมิใช่เวลา เพราะเหตุไร?" ได้ทราบความเป็นไปนั้นตั้งแต่ต้น เป็นหญิงมีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยปัญญา นิมนต์ว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านทั้งหลายจงรับภิกษาของดิฉันทั้งหลายในวันพรุ่งนี้."                 พระปัจเจก. น้องหญิง พวกเรามีมาก.                 หญิง. มีประมาณเท่าไร? เจ้าข้า.                 พระปัจเจก. มีประมาณพันรูป น้องหญิง.                 หญิงนั้นกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันมีประมาณพันคน อยู่ในบ้านนี้, คนหนึ่งๆ จักถวายภิกษาแด่พระผู้เป็นเจ้ารูปหนึ่งๆ ขอท่านทั้งหลาย จงรับภิกษาเถิด, ดิฉันคนเดียวจักให้ทำแม้ที่อยู่แก่ท่านทั้งหลาย."                 พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายรับ (อาราธนา) แล้ว.                 นางเข้าไปสู่บ้านป่าวร้องว่า "เราเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณพันองค์ นิมนต์ไว้แล้ว, ท่านทั้งหลายจงจัดแจงที่เป็นที่นั่งแด่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย, จงจัดอาหารวัตถุทั้งหลายมีข้าวต้มและข้าวสวยเป็นต้น แด่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเถิด" แล้วให้สร้างปะรำในท่ามกลางบ้าน ลาดอาสนะไว้                 ในวันรุ่งขึ้น จึงให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่ง อังคาสด้วยโภชนะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ จึงพาหญิงทั้งหมดในบ้านนั้น พร้อมกับหญิงเหล่านั้นนมัสการพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว รับเอาปฏิญญาเพื่อประโยชน์แก่การอยู่ตลอดไตรมาส แล้วป่าวร้องชาวบ้านอีกว่า                 "แม่และพ่อทั้งหลาย บุรุษคนหนึ่งๆ แต่ตระกูลหนึ่งๆ จงถือเอาเครื่องมือมีมีดเป็นต้นเข้าไปสู่ป่า นำเอาทัพสัมภาระมาสร้างที่เป็นที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย."                 พวกชาวบ้านตั้งอยู่ในถ้อยคำของนางแล้ว คนหนึ่งๆ ทำที่แห่งหนึ่งๆ แล้วให้สร้างศาลามุงด้วยใบไม้พันหลัง พร้อมกับที่พักกลางคืนและกลางวัน แล้วอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เข้าจำพรรษาในบรรณศาลาของตนๆ ด้วยตั้งใจว่า                 "เราจักอุปัฏฐากโดยเคารพ, เราจักอุปัฏฐากโดยเคารพ."                 ในเวลาออกพรรษาแล้ว นางชักชวนว่า "ท่านทั้งหลายจงตระเตรียมผ้าเพื่อจีวร (ถวาย) แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายผู้อยู่จำพรรษาในบรรณศาลาของตนๆ เถิด", แล้วให้ถวายจีวรมีค่าพันหนึ่งแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ.                 พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายออกพรรษาแล้ว ทำอนุโมทนาแล้วก็หลีกไป.

20 กุมภาพันธ์ 2560

พระ ภัทรพล ชุตินฺธโร Phra Phattaraphon: นี่ล่ะหนอ..คน

พระ ภัทรพล ชุตินฺธโร Phra Phattaraphon: นี่ล่ะหนอ..คน  ชีวิตเราจะเป็นเช่นไร....อยู่ที่เราคิด เราทำ 

นี่ล่ะหนอ..คน

หลายครั้งอยากบอกว่า...

ไม่เคยบังอาจคิดว่า 'ฉันสอนใคร'
แค่พูดออกไปเพราะเข้าใจดีพอควร
และไม่เคยคิดว่าคนอื่นจะต้องเข้าใจฉัน
เพราะฉันทำเพื่อตัวฉันและคนสำคัญ.....พอ

คนที่จิตใจมืดบอดไปด้วยโมหะ โทสะ โลภะ
ย่อมไม่อาจมองเห็นความสว่างไสวในใจคนอื่นได้

อย่าบังอาจไปคิดเองว่า .. ใครเป็นอย่างไร
#ไม่ใช่หน้าที่ที่มนุษย์หน้าไหนจะมาตัดสิน ไม่ใช่ทุกคนจะคิดดี หรือ คิดชั่วเสมอ
ซึ่งถึงแบบนั้น........ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา
'กรรมและความทุกข์ในใจ' คือผู้จะตัดสิน

จงทำความเข้าใจกับคำว่า
"ปากปราศัย น้ำใจเชือดคอ"
ให้ถ่องแท้...

ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด
แต่ก็ยอมรับว่าความผิดนั้น
มันมักจะขยายมากกว่าความเป็นจริงเสมอ
ด้วยวาจาของ 'อมิตร..ของคนดี'

คนบางคนมักจะตีความเข้าข้างตนเอง
แม้ว่าจะเป็นการทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ตาม

#ความจริงนั้นเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้และยุติธรรม
แต่อคติของคนต่างหาก...
ที่ทำให้ความจริงบิดเบือนไปอย่างชั่วร้ายที่สุด
หากเคยเดินย่ำโคลนจะเห็นว่า
โคลนแค่ทำให้เนื้อตัวเราแปดเปื้อน
แต่โคลนไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังเราได้
รอยเปื้อนใดๆ จากภายนอก
ไม่เคยทำให้ตัวเราใจเรา.. เลอะเทอะได้จริงๆ

#จงยืนหยัดยืนเคียงข้างความถูกต้อง
และปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความเมตตา
ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะเป็นเกราะกำบังที่ดี
จงมีความอ่อนน้อมกับทุกคน ทุกคนล้วนคือครู

#อย่าให้ความหยาบของคนอื่น
#ทำให้เราต้องกระด้างไปด้วย
#เราไม่จำเป็นต้องเป็นในสิ่งที่โสโครกตาม
...........................................
อ้อ__อีกข้อนึง ... อย่าให้ใครมาว่าเราได้
#แก่_เพราะเกิดนาน__อายลูกอายหลานมัน!!!!"

------------------------------------------------------------
#โดยธรรม
Phra Phattaraphon Chutintharo
(พระภัทรพล ชุตินฺธโร)

18 กุมภาพันธ์ 2560

คนธรรมดา

'ยอดคน' มีขึ้นได้เสมอ 
แต่ไม่ใช่เพราะ 'ฟ้ากำหนด'
แต่การที่ "ยอดคน"ปรากฏขึ้นได้นั้น
ต้องผ่านการเป็นยอดไม้ที่อ่อนโยน
และการเป็นคนที่อ่อนน้อม

อดีตไม่สำคัญว่าเราเป็นใคร 
สำคัญที่ว่าวันนี้และวันข้างหน้า
'เราต้องการจะเป็นใคร '

จงเห็นคุณค่าในตัวเอง 
เคารพนับถือในความสามารถของตัวเอง
"ปิดทองหลังพระ" บ้างก็ช่างเถอะ
หากเรายังไม่หยุดเรียนรู้และพัฒนา
ตัวเราก็จะภาคภูมิในตัวเองได้ในที่สุด

อย่าปล่อยให้ความคิด หรือ  คำพูดราคาถูก
ของคนบางคนมากำหนดชีวิตของเรา
ในโลกนี้ไม่มีใครมีอิทธิพลกับตัวเราได้เลย
"นอกจากตัวเราเอง''

อย่าตกเป็นเหยื่อคำพูดพล่อยๆของใคร
เพราะคนที่พูดออกไป.... 
"ก็ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเลย"
------------------------------------------------------
..ชุตินฺธโร นาม..
  ( 18 กพ. 60 )


15 กุมภาพันธ์ 2560

เตรียมตาย

"เตรียมตาย"

การฝึกเจริญ...มรณานุสสติ
เป็นเรื่องที่ควรตระหนักรู้ไว้
เป็นเวลาที่สำคัญ...เป็นเวลาชีวิต
ที่เราจะได้สัมผัสรับรู้ลมหายใจ

ลมหายใจที่นำชีวิตมาให้เรา และอยู่คู่กับเรามาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ลมหายใจนี่แหล่ะที่จะสิ้นสุดไปพร้อมๆ กับชีวิตของเรา...
เราทุกคนมาโลกนี้เพียงแค่ชั่วคราว
สักวันหนึ่งเราก็ต้องละจากโลกนี้ไป
ไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไร..

คืนนี้ !!! อาจจะเป็นคืนสุดท้ายของเราก็ได้
ถ้าพรุ่งนี้จะต้องพบว่าไม่มี "เรา" อีกต่อไป
ถามตัวเองบ้างหรือยังเราจะทำเช่นไร ??
พร้อมที่จะ "จากไป"  ด้วยท่าทีแบบไหนดี??

แต่เหตุใดเราจึงไม่พร้อมจากไป
รู้ตัวว่ากำลังของสติยังไม่มากพอ
ที่จะเผชิญกับเวทนา "เพราะไม่เคย"
และใจที่รับรู้ว่าตนเองยังมีภาพในหัว
ภาพของคนที่เป็นห่วง มีภาระ ห่วงลูก ตามประสาพ่อแม่
อยากทำหน้าที่ การงาน อยากทำความดี

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว...จะรอให้ไม่มีโอกาสได้ทำ
หรือควรรีบทำให้ลุล่วงกันดีล่ะโยม !?!.

"เป็นมิตรกับความตายได้นะ
เพราะความตายเราพูดจากันได้"
_______________________________________
chutintharo phiku

14 กุมภาพันธ์ 2560

เสียงที่ไพเราะ

ในบางวัน...เสียงที่ไพเพราะที่สุด 

ไม่ใช่เสียงชื่นชม
ม่ใช่เสียงสรรเสริญเยินยอ
ไม่ใช่เสียงแห่งชัยชนะ
แต่เป็น "เสียงของความเงียบ"

ความเงียบที่ไม่ใช่ 'แค่ไร้เสียง'
แต่เป็นความเงียบสงบภายในใจ
เรามักได้ยินไม่บ่อยนัก

เพราะมีเสียงจากผู้อื่นภายนอกดังเข้ามาแทรกภายในใจเราอยู่ตลอดเวลา

หาเวลาอยู่กับความเงียบ สงบด้วยการนิ่งฟังเสียงของมันบ้าง ให้จิตใจเราได้ผ่อนคลายบ้างก็ดีนะ

================================

รู้เปลี่ยนแปลง

เพราะความสบายเกิดจากการเปลี่ยน
สมมติว่าหนักอยู่
พอเราเปลี่ยนปั๊บ สบายทันทีเลย
เป็นสุขเวทนา
ก็มาจากอนิจจัง

อนิจจังแปลว่าเปลี่ยนแปลง
ถ้าเรานั่งนานๆ ไม่ยอมเปลี่ยน
เป็นทุกขัง

ทุกข์ทางกายก็เปลี่ยนเป็นทุกขเวทนา
ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ก็มาเป็นทุกขัง
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ก็ไม่ทุกข์

อนิจจัง ถ้าเรารู้ทัน เป็นศีล
ทุกขัง ถ้าเรารู้ทัน เป็นสมาธิ
อนัตตา ถ้าเรารู้ทัน เป็นปัญญา

อนิจจัง ถ้ารู้ไม่ทัน เป็นราคะ (สุขเวทนา)
ทุกขัง ถ้ารู้ไม่ทัน เป็นโทสะ (ทุกขเวทนา)
อนัตตา ถ้ารู้ไม่ทัน เป็นโมหะ (อทุกขมสุขเวทนา)

มันจะโยงกันอย่างนี้ในขณะที่เราทำ
เราจึงไม่มองข้ามความรู้สึกทางกายเป็นหลัก

เพราะถ้าเราไปทำตรงนั้น
มันเป็นการดับต้นเหตุ
ของสายใยปฏิจจสมุปบาททั้งหมดเลย
เรียกว่าเปลี่ยนหัวขบวนเลย
จากอวิชชาเป็นวิชชาเลยทีเดียว

12 กุมภาพันธ์ 2560

ชีวิตนี้สั้น

ชีวิตนี้สั้นกว่าที่คิด

ทำไมทั้งที่เรารู้ว่าควรปล่อยวาง
แต่ก็ยังคิดมาก

ทำไมทั้งที่เรารู้ว่าควรนิ่ง ควรฟัง
แต่ก็ยังพูด ยังนินทาเขา

ทำไมทั้งที่เรารู้ว่าไม่ควรเปรียบเทียบ
แต่ก็ยังเปรียบเทียบตัวเองกับโลก

พึงทำความรู้จักคุณค่าของ
เวลาชีวิตให้ได้แท้จริง
ชีวิตเราสั้นมากกว่าที่เราคิด
ราคาแพงเกินกว่าที่จะไปแลกเอาความทุกข์เข้ามา

ความทุกข์ไม่ได้มีที่มาจากไหนเลย
แต่มันเกิดจาก'ความคิดในหัว'ของเรา
ที่เก็บเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิดวุ่นวายไปหมด
#และแทบทั้งสิ้นไม่ใช่เรื่องของตนเองเลย

ชีวิตที่ถูกต้องคือ ชีวิตที่สงบ ชีวิตที่อิ่มเอมในกุศล
เมื่อใจเกิดความอิ่มเอมก็จะเบิกบาน
และมีพลังมากมายพอจะต่อสู้กับ
ความทุกข์ของตนเองให้ผ่านพ้นไป

และเมื่อเราได้รู้เช่นนี้แล้วว่า "ชีวิตนี้สั้น"
#เราได้เริ่มทำอะไรให้ชีวิตเราเองหรือยัง????

==================================
( ชุตินฺธโร นาม  )

10 กุมภาพันธ์ 2560

เมื่อรู้...จึงคลาย

ลายครั้งในชีวิต...
เราคิดว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆของผู้คน
นั่นเป็นเพราะการประเมินศักยภาพ
ที่ใจเรามีกับตนเองต่ำเกินไป…

เราทำได้ดีกว่านี้หากเราเปิดใจมอง และเริ่มลงมือทำสิ่งเล็กเล็ก
สิ่งที่เราจะทำได้....
และขอให้ทำสิ่งนั้นอย่างดีที่สุด
เราอาจพบว่าสิ่งเล็กเล็กที่เราทำอยู่
อาจมีผลที่ยิ่งใหญ่ทำโลกให้สะเทือนได้

แม้ว่าที่สุดแล้ว…

มันอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงใครเลย
☼ อย่างน้อยที่สุด....
มันก็เปลี่ยนแปลงตัวเราให้ดีขึ้นไม่ใช่หรือ?

เพราะในวันที่เราเศร้าที่สุดของชีวิต
โลกนี้ก็ไม่ได้ร้องไห้ไปกับเราเลย…

แต่โลกนี้ก็อยู่เคียงข้างเราเสมอนะ
ความสุขก็ยังคงมีขึ้นรอบตัวอย่างนับเนื่อง
ซึ่งอยู่ที่ตัวเราเท่านั้นที่จะเลือกมอง
เลือกคิด... และเลือกที่จะทำอะไร

กับชีวิตของตัวเอง...ใครก็กำหนดเราไม่ได้
ใครก็เศร้าแทนเราไม่ได้ !!!
กลับกัน_ใครก็สุขแทนเราไม่ได้ !!!
☼ โล กยั ง ค ง ห มุ น  อ ยู่ เ ช่ น เ ดิ ม ☼
☼ ที่ เพิ่ ม เ ติ ม คื อ ค ว า ม คิด ข อ ง เ ร า ☼

------------------------------------------------

ชุตินฺธโร นาม

9 กุมภาพันธ์ 2560

วิถีคิลานธรรม

“วิถีแห่งพุทธะ…….วิถีแห่งพระคิลานธรรม”

วิถีที่เคยคุ้นเคยของชีวิต ไม่ว่าจะก่อนบวชเรียนหรือในเพศสมณะก็ตาม….เป็นชีวิตที่เมื่อนั่งย้อนคิดระลึกถึง

คนเราทุกข์วันนี้เพราะไม่เห็นความเป็นธรรมดาของชีวิต

 ธรรมดาของชีวิตย่อมมีทุกข์มีสุข สมหวัง ผิดหวังเป็นธรรมดาเวลาที่เราเผลอไปมองข้าม ความธรรมดาก็จะเกิดความหลงไปกับความยินร้าย

การทำความเห็นให้ถูกว่า การพลัดพรากจากของรักย่อมเสียใจเป็นธรรมดา ต้องพบกับสิ่งที่ไม่อยากพบย่อมไม่ชอบใจเป็นธรรมดา อยากได้แล้วไม่ได้ย่อมคับข้องใจเป็นธรรมดา

 หวังว่าจะพบเรื่องราวดีๆแล้วกลับพบเรื่องร้ายๆ ก็ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา

 เห็นแบบนี้แล้วความดิ้นรนทุรนทุรายย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นธรรมดาแล้ว  

ก็จะดิ้นรน สงสัย ถามทำไมถึงเป็นนี้?

 ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้? ทำไม? ทำไม? ฯลฯ

 แล้วก็ไม่มีคำตอบ มีแต่ความบีบคั้นใจ
ทำอย่างไรให้เห็นความเป็นธรรมดาของชีวิต?

“คำถามนี้จะหาคำตอบได้ไหมเนี่ย ?!?”

^^แต่วันนี้….คิลานธรรมได้ค่อยๆพาฉันออกเดินไปค้นหา  พาไปเห็นจนได้รู้จงฝึกสติให้รู้ทันความยินร้าย รู้ทันความผิดหวัง ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ เมื่อมีสติระลึกรู้ ไม่หลง จิตก็เป็นปกติ ไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรน ใจเป็นกลาง เข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิตได้                     และรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง

วิถีคิลานธรรมสอนว่า

หลายเดือนนี้ ..เริ่มรู้ตัวว่าเราอายุมากขึ้น ญาติสนิทมิตรสหายเริ่มทยอยจากเราไป รู้สึกถึงชีวิตล้วนอนิจจัง

หลายเดือนนี้..เริ่มรู้สึกปล่อยวาง เริ่มเรียนรู้ถึงสิ่งที่ไม่ว่าจะเสียดายหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่จะต้องเป็นไปโดยวิถีแห่งธรรมชาติ

หลายเดือนนี้ ..ชีวิตสอนว่า เราควรรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่นคือสิ่งที่มีค่า มากกว่าการที่คิดร้ายกับผู้อื่น

หลายเดือนนี้..ชีวิตสอนว่าเราจะเป็นกัลยาณมิตรของผู้อื่นโดย  ไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องทำดีตอบกลับมาให้เรา

หลายเดือนนี้ ชีวิตสอนว่า สิ่งที่เคยใฝ่ฝันอยากได้ในอดีต แม้วันนี้จะได้มาแล้ว ก็หาใช่สิ่งที่สำคัญสำหรับเราเลย

หลายเดือนนี้ เริ่มตื่นรู้ นอกจากเราต้องทำดีกับผู้อื่นแล้ว เราจะต้องทำสิ่งที่ดีงามให้กับคนที่ดีกับเราให้ มากเท่าทวีคูณ

หลายเดือนนี้ เริ่มเรียนรู้ว่า เวลาหาได้บ่มเพาะความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน ตรงกันข้าม เวลากลับพิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของผู้คน

หลายเดือนนี้ เราเปลี่ยนไป สามารถอดทนแบกรับความทุกข์ในหลากหลายรูปแบบ มีความแกร่งในชีวิต เหมือนต้นกระบองเพชร ที่สามารถจะอยู่รอดได้ในทุกสถานะ

หลายเดือนนี้ เริ่มสำนึก ไม่ดึงดันถือมั่นอย่างที่เคย หลายสิ่งที่เคยยึดมั่นเริ่มคลายความถือมั่น ลงกว่าที่เคยเป็น

หลายเดือนนี้ หลายสิ่งที่ขัดหูขัดตา ก็สามารถที่จะทำใจให้เป็นเหมือน               “ฟังแต่ไม่ได้ยิน มองแต่ไม่ได้เห็น“

หลายเดือนนี้ ชีวิตสอนว่า ไม่ใช่คนทุกคนจะยินยอมเดินตามวิถีทางที่ เราอยากให้เป็นได้ตลอดไป

หลายเดือนนี้ ชีวิตสอนว่า สิ่งที่เป็นของเรา ย่อมต้องเป็นของเรา สิ่งที่ไม่ใช่ของเรา จงเรียนรู้กับมันให้ได้

หลายเดือนนี้ ชีวิตสอนว่า อย่าได้อิจฉาชีวิตของผู้อื่น เพราะเราเองก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างที่เรา ต้องการและเป็นได้เท่าที่เราจะเป็น

เวลาดุจสายน้ำไหลไปไม่หวนกลับ 
เรียนรู้กับชีวิต......รู้ซึ้งถึงชีวิต
หวงแหนทุกห้วงเวลาที่ผ่านไปด้วยการเอื้อเฟื้อผู้คน
และใช้ชีวิตด้วย"ใจที่สงบ" ต่อไป

                                 

               

                                                                                           

https://docs.google.com/document/d/14Cl-aJqU9z0Jv91WT40VqpzKu_I3rzfgsha4ru2JogM/mobilebasic