....ปาฏิหาริย์ของชีวิต....
วันนี้เดินทางมารพ.ชลประทาน ที่ตึก80ปี เพื่อเยี่ยมโยมคนหนึ่ง ผู้ชายวัย74ปี
ซึ่งญาติวิตกกังวลในอาการที่ทรุดลง (แต่จากการมองของตัวเอง)
บรรยากาศภายในห้อง มีคนอยู่หลายคน ทั้งภรรยา ,
และครอบครัวของเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งมีสามี(เพื่อนรัก)ภรรยาและลูกสาว
อาการผู้ป่วยนั้นไม่สามารถสื่อสารแต่รับรู้ได้ พอโยมทราบว่าพระมาเยี่ยมก้น้ำตาไหล และแสดงอาการรับรู้ทางการพยักคิ้ว ได้รับฟังโยมภรรยาเล่าถึงความกังวลที่ เห็นอาการทรุดลง เล่าว่าเคยเป็นแบบนี้มาหนนึงตอนนั้นก็สามารถผ่านมาได้แบบมีปาฏิหาริย์ ครั้งนี้ก็เลย "หวังให้มีปาฏิหาริย์"แบบนั้นอีก กับได้เห็นว่าโยมภรรยานั้นจะพยายามพูดกับผูุ้ป่วยว่า
"ให้สู้ๆ" หรือคำว่า "ต้องหายไวๆ"
เลยชวนโยมภรรยาได้กลับมาทบทวนภาวะในใจถึงความต้องการนี้ของเรา ว่าเป็นอย่างไรนะ?
โยมกำลังจะร้องขอในสิ่งที่...ไม่ใช่ความจริง
ผู้ป่วยได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วนะ...ภายใต้เงื่อนไขทางกายซึ่งคงเป็นได้เท่าที่มันจะเป็นแบบนี้นะ
ชวนโยมมองว่าเราสามารถร้องขอการไม่เจ็บไม่ป่วยไม่จากลาได้อย่างนั้นหรือ???
ชวนโยมได้ตระหนักรู้ว่ายังมีอีกมุมหนึ่งที่อาตมาเห็นและสัมผัสได้ที่กำลังเกิดขึ้นคือ ความดีที่โยมกำลังทำ หน้าที่ที่โยมได้ทำ กัลยาณมิตรที่อยู่ข้างเราในเวลานี้
ได้ชวนให้คิดว่ายังมีโอกาสได้ดูแลกันและกัน .... เพราะหลายคนจากกันไปโดยกระทันหันไม่ทันได้ร่ำลากันแม้แต่น้อย.
ภรรยาได้บอกว่า "กลับบ้านไปก็ยังอดห่วงกังวลไม่ได้"
เลยได้ชวนให้รู้ว่าตอนนี้ผู้ป่วยอยู่ในการดูแลของอาชีพผู้ที่เก่งที่สุดในการรักษาโรคภัยคือคุณหมอ/พยาบาล และเมื่อโยมบอกว่าวางใจที่หมอพยายาลดูแลอย่างดี....เราจะปล่อยให้หมอได้ทำหน้าที่นี้โดยเราจะได้กลัยมาทำหน้าที่ตน....ต่างคนต่างได้ทำ
หากวันนี้เรากำลังปลูกต้นไม้ต้นนึง เราช่วยกันดูแลใส่น้ำใส่ปุ๋ย ....ถ้าหากต้นไม้ต้นนี้มีแมลงมากัดกินมีใบที่แหว่งวิ่น....เราจะทำอย่างไรต่อ.......เราก็จะต้องกลับมาดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยต้นไม้ต้นนี้ต่อไปใช่หรือไม่?
พอให้พูดสิ่งที่สามีเคยทำแล้วประทับใจ โยมเล่าว่าเพราะหนนึงเขาเคยดูแลแม่(แม่ยาย)ของภรรยาตอนเจ็บป่วยอย่างดีมากก และดูแลครอบครัวอย่างดี.....พระจึงชวนให้ทั้งหมดได้เห็นภึงคุณค่านี้ ได้เห็นถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังทำ และให้เห็นถึงความดีที่ผู้ป่วยทำไว้
ภรรยาบอกว่า ไม่ค่อยอยากดูแลในสภาพป่วยเเบบนี้เลย ทำใจไม่ได้...สงสารเขา
อาตมาเลยชวนคิดว่า "วันนั้นโยมผู้ป่วยที่ดูแลแม่ยายอย่างดี ก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันกลับมามีคุณค่ายิ่งในใจเรามาตลอดการครองเรือนร่วมกันและคงมีในใจโยมต่อไปเลยนะ
วันนี้เขาป่วยเช่นนี้ เราจะมาช่วยกันดูแลเขาด้วยกันนะ
ดูแลเขาแบบที่เขาได้เคยทำกับแม่เรา.....ให้รางวัลเขาที่เขาทำดีมาทั้งชีวิตเพื่อโยมกัน.....เราจะทำสิ่งนี้กันไหม??
สุดท้ายขอทำบุญ ขอรับศีล๕ โยมผู้ป่วยพยายามประนมมือและให้สัญญาณว่ารับรู้และได้เห็นถึงโยมพยายามจะได้ทำภาวนาตามที่พระบอก.....
"วันนี้ได้มีสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วนะ"....และมันยิ่งใหญ่กว่าที่โยมคิดอยากได้ไหมนะที่ตอนนี้....สามีโยมที่ป่วยมีพระ มีหมอ มีพยาบาล มีภรรยา มีเพื่อน มีกัลยาณมิตร มีเพื่อนมนุษย์และสำคัญที่สุดคือยังมีลมหายใจนี้เพื่อโยมในปัจจุบัน.....เราจะกลับมารักษาใจนี้ไปด้วยกันนะ"
"ภาพที่เห็นคือทุกคนมีน้ำตาแห่งความดีงามของแต่ละคนไหลออกมา....อาตมารับรุ้ได้เลยว่านี่คือพลังที่วิเศษจากความดี ที่น่าปิติตาม"......ก่อนลาโยมกลับ
วันนี้เดินทางมารพ.ชลประทาน ที่ตึก80ปี เพื่อเยี่ยมโยมคนหนึ่ง ผู้ชายวัย74ปี
ซึ่งญาติวิตกกังวลในอาการที่ทรุดลง (แต่จากการมองของตัวเอง)
บรรยากาศภายในห้อง มีคนอยู่หลายคน ทั้งภรรยา ,
และครอบครัวของเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งมีสามี(เพื่อนรัก)ภรรยาและลูกสาว
อาการผู้ป่วยนั้นไม่สามารถสื่อสารแต่รับรู้ได้ พอโยมทราบว่าพระมาเยี่ยมก้น้ำตาไหล และแสดงอาการรับรู้ทางการพยักคิ้ว ได้รับฟังโยมภรรยาเล่าถึงความกังวลที่ เห็นอาการทรุดลง เล่าว่าเคยเป็นแบบนี้มาหนนึงตอนนั้นก็สามารถผ่านมาได้แบบมีปาฏิหาริย์ ครั้งนี้ก็เลย "หวังให้มีปาฏิหาริย์"แบบนั้นอีก กับได้เห็นว่าโยมภรรยานั้นจะพยายามพูดกับผูุ้ป่วยว่า
"ให้สู้ๆ" หรือคำว่า "ต้องหายไวๆ"
เลยชวนโยมภรรยาได้กลับมาทบทวนภาวะในใจถึงความต้องการนี้ของเรา ว่าเป็นอย่างไรนะ?
โยมกำลังจะร้องขอในสิ่งที่...ไม่ใช่ความจริง
ผู้ป่วยได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วนะ...ภายใต้เงื่อนไขทางกายซึ่งคงเป็นได้เท่าที่มันจะเป็นแบบนี้นะ
ชวนโยมมองว่าเราสามารถร้องขอการไม่เจ็บไม่ป่วยไม่จากลาได้อย่างนั้นหรือ???
ชวนโยมได้ตระหนักรู้ว่ายังมีอีกมุมหนึ่งที่อาตมาเห็นและสัมผัสได้ที่กำลังเกิดขึ้นคือ ความดีที่โยมกำลังทำ หน้าที่ที่โยมได้ทำ กัลยาณมิตรที่อยู่ข้างเราในเวลานี้
ได้ชวนให้คิดว่ายังมีโอกาสได้ดูแลกันและกัน .... เพราะหลายคนจากกันไปโดยกระทันหันไม่ทันได้ร่ำลากันแม้แต่น้อย.
ภรรยาได้บอกว่า "กลับบ้านไปก็ยังอดห่วงกังวลไม่ได้"
เลยได้ชวนให้รู้ว่าตอนนี้ผู้ป่วยอยู่ในการดูแลของอาชีพผู้ที่เก่งที่สุดในการรักษาโรคภัยคือคุณหมอ/พยาบาล และเมื่อโยมบอกว่าวางใจที่หมอพยายาลดูแลอย่างดี....เราจะปล่อยให้หมอได้ทำหน้าที่นี้โดยเราจะได้กลัยมาทำหน้าที่ตน....ต่างคนต่างได้ทำ
หากวันนี้เรากำลังปลูกต้นไม้ต้นนึง เราช่วยกันดูแลใส่น้ำใส่ปุ๋ย ....ถ้าหากต้นไม้ต้นนี้มีแมลงมากัดกินมีใบที่แหว่งวิ่น....เราจะทำอย่างไรต่อ.......เราก็จะต้องกลับมาดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยต้นไม้ต้นนี้ต่อไปใช่หรือไม่?
พอให้พูดสิ่งที่สามีเคยทำแล้วประทับใจ โยมเล่าว่าเพราะหนนึงเขาเคยดูแลแม่(แม่ยาย)ของภรรยาตอนเจ็บป่วยอย่างดีมากก และดูแลครอบครัวอย่างดี.....พระจึงชวนให้ทั้งหมดได้เห็นภึงคุณค่านี้ ได้เห็นถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังทำ และให้เห็นถึงความดีที่ผู้ป่วยทำไว้
ภรรยาบอกว่า ไม่ค่อยอยากดูแลในสภาพป่วยเเบบนี้เลย ทำใจไม่ได้...สงสารเขา
อาตมาเลยชวนคิดว่า "วันนั้นโยมผู้ป่วยที่ดูแลแม่ยายอย่างดี ก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันกลับมามีคุณค่ายิ่งในใจเรามาตลอดการครองเรือนร่วมกันและคงมีในใจโยมต่อไปเลยนะ
วันนี้เขาป่วยเช่นนี้ เราจะมาช่วยกันดูแลเขาด้วยกันนะ
ดูแลเขาแบบที่เขาได้เคยทำกับแม่เรา.....ให้รางวัลเขาที่เขาทำดีมาทั้งชีวิตเพื่อโยมกัน.....เราจะทำสิ่งนี้กันไหม??
สุดท้ายขอทำบุญ ขอรับศีล๕ โยมผู้ป่วยพยายามประนมมือและให้สัญญาณว่ารับรู้และได้เห็นถึงโยมพยายามจะได้ทำภาวนาตามที่พระบอก.....
"วันนี้ได้มีสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วนะ"....และมันยิ่งใหญ่กว่าที่โยมคิดอยากได้ไหมนะที่ตอนนี้....สามีโยมที่ป่วยมีพระ มีหมอ มีพยาบาล มีภรรยา มีเพื่อน มีกัลยาณมิตร มีเพื่อนมนุษย์และสำคัญที่สุดคือยังมีลมหายใจนี้เพื่อโยมในปัจจุบัน.....เราจะกลับมารักษาใจนี้ไปด้วยกันนะ"
"ภาพที่เห็นคือทุกคนมีน้ำตาแห่งความดีงามของแต่ละคนไหลออกมา....อาตมารับรุ้ได้เลยว่านี่คือพลังที่วิเศษจากความดี ที่น่าปิติตาม"......ก่อนลาโยมกลับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น