5 ธันวาคม 2560

12พ.ย.60

ขั้นตอนของการฟาแบบIFS

ประการแรก ผู้ฟาต้องดำรงอยู่ในSelf ,พื้นที่สีเขียว ประการสอง ให้ความสำคัญกับการรอคอย จังหวะที่พอดีๆ ไม่เร่งรีบ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ถูกฟา

ขั้นตอนการฟา(บรรยายโดยเนท)
1.หาเป้าหมายว่าเราจะทำงานกับเรื่องอะไร

2.เชิญผู้พิทักษ์เข้ามา อาจเริ่มต้นจากภาวะที่ผู้ถูกฟาเป็นอยู่ หรือนึกถึงเหตุการณ์ ในทางสมองเมื่อนึกถึงเหตุกาณ์นั้นๆอีกครั้ง การรับรู้จะเหมือนเกิดขึ้นจริงอีกครั้ง

3. ผู้พิทักษ์ปรากฏ อาจเป็นรูปแบบ ภาพ เสียง พลังงาน หรือ อาการทางกาย

4.แยกผู้พิทักษ์เพื่อหาSelf ของผู้ถูกฟา
เชิญผู้พิทักษ์ขยับออก โดยใช้วิธีตั้งชื่อ หรือ ให้ผู้ถูกฟาบรรยายภาพในจินตนาการ จะช่วยให้แยกได้

5.เช็คว่าผู้ถูกฟา อยู่ในSelfรึยัง โดยถามผู้ถูกฟาเช็คความรู้สึกต่อผู้พิทักษ์

6.หากยังมีความรู้สึกที่ตัดสินผู้พิทักษ์ แสดงว่ามีเสี้ยวส่วนอื่นมาปนอยู่ ให้เชิญออกมาก่อน

7.เมื่อเห็นช่องที่แง้มออก เรานำให้ผู้ถูกฟาโฟกัสกับความรู้สึกที่อยู่ในSelf สภาวะจิตเดิมแท้

8.ขออนุญาติผู้พิทักษ์ขยับ เพื่อจะเข้าไปดูเด็กน้อย(Exile:เสี้ยวส่วนที่ผู้พิทักษ์ดูแลอยู่)ด้วยความสุภาพ

9. ชั่วขณะที่ผู้ถูกฟาเข้าไปเผชิญกับเด็กน้อย เป็นช่วงเวลาสำคัญมากที่เราต้องให้เวลา อยู่กับเขาด้วยพลังงานที่โอบอุ้ม สงบ
ภาวะที่เข้าไปดูแลเด็กน้อยที่เจ็บปวด เป็นช่วงของการเยียวยา ความเจ็บปวดถูกปลดปล่อยออกมา

10.หลังจากดูแลเด็กน้อย ให้เช็คว่าเด็กน้อยเปลี่ยนแปลงอย่างไร เช็คผู้พิทักษ์เปลี่ยนแปลงอย่างไร(ปักหมุดให้ผู้ถูกฟารับรู้ว่าผู้พิทักษ์มีคุณภาพใหม่)

4 ธันวาคม 2560

....ปาฏิหาริย์ของชีวิต....

วันนี้เดินทางมารพ.ชลประทาน ที่ตึก80ปี เพื่อเยี่ยมโยมคนหนึ่ง ผู้ชายวัย74ปี

ซึ่งญาติวิตกกังวลในอาการที่ทรุดลง (แต่จากการมองของตัวเอง)

บรรยากาศภายในห้อง มีคนอยู่หลายคน ทั้งภรรยา ,
และครอบครัวของเพื่อนสนิทคนนึง  ซึ่งมีสามี(เพื่อนรัก)ภรรยาและลูกสาว

อาการผู้ป่วยนั้นไม่สามารถสื่อสารแต่รับรู้ได้ พอโยมทราบว่าพระมาเยี่ยมก้น้ำตาไหล และแสดงอาการรับรู้ทางการพยักคิ้ว  ได้รับฟังโยมภรรยาเล่าถึงความกังวลที่ เห็นอาการทรุดลง เล่าว่าเคยเป็นแบบนี้มาหนนึงตอนนั้นก็สามารถผ่านมาได้แบบมีปาฏิหาริย์   ครั้งนี้ก็เลย "หวังให้มีปาฏิหาริย์"แบบนั้นอีก  กับได้เห็นว่าโยมภรรยานั้นจะพยายามพูดกับผูุ้ป่วยว่า
"ให้สู้ๆ" หรือคำว่า "ต้องหายไวๆ"

เลยชวนโยมภรรยาได้กลับมาทบทวนภาวะในใจถึงความต้องการนี้ของเรา ว่าเป็นอย่างไรนะ?

โยมกำลังจะร้องขอในสิ่งที่...ไม่ใช่ความจริง
ผู้ป่วยได้ทำอย่างดีที่สุดแล้วนะ...ภายใต้เงื่อนไขทางกายซึ่งคงเป็นได้เท่าที่มันจะเป็นแบบนี้นะ

ชวนโยมมองว่าเราสามารถร้องขอการไม่เจ็บไม่ป่วยไม่จากลาได้อย่างนั้นหรือ???

ชวนโยมได้ตระหนักรู้ว่ายังมีอีกมุมหนึ่งที่อาตมาเห็นและสัมผัสได้ที่กำลังเกิดขึ้นคือ  ความดีที่โยมกำลังทำ  หน้าที่ที่โยมได้ทำ   กัลยาณมิตรที่อยู่ข้างเราในเวลานี้

ได้ชวนให้คิดว่ายังมีโอกาสได้ดูแลกันและกัน .... เพราะหลายคนจากกันไปโดยกระทันหันไม่ทันได้ร่ำลากันแม้แต่น้อย.

ภรรยาได้บอกว่า "กลับบ้านไปก็ยังอดห่วงกังวลไม่ได้"
เลยได้ชวนให้รู้ว่าตอนนี้ผู้ป่วยอยู่ในการดูแลของอาชีพผู้ที่เก่งที่สุดในการรักษาโรคภัยคือคุณหมอ/พยาบาล  และเมื่อโยมบอกว่าวางใจที่หมอพยายาลดูแลอย่างดี....เราจะปล่อยให้หมอได้ทำหน้าที่นี้โดยเราจะได้กลัยมาทำหน้าที่ตน....ต่างคนต่างได้ทำ

หากวันนี้เรากำลังปลูกต้นไม้ต้นนึง เราช่วยกันดูแลใส่น้ำใส่ปุ๋ย ....ถ้าหากต้นไม้ต้นนี้มีแมลงมากัดกินมีใบที่แหว่งวิ่น....เราจะทำอย่างไรต่อ.......เราก็จะต้องกลับมาดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยต้นไม้ต้นนี้ต่อไปใช่หรือไม่?

พอให้พูดสิ่งที่สามีเคยทำแล้วประทับใจ โยมเล่าว่าเพราะหนนึงเขาเคยดูแลแม่(แม่ยาย)ของภรรยาตอนเจ็บป่วยอย่างดีมากก  และดูแลครอบครัวอย่างดี.....พระจึงชวนให้ทั้งหมดได้เห็นภึงคุณค่านี้  ได้เห็นถึงสิ่งที่ทุกคนกำลังทำ  และให้เห็นถึงความดีที่ผู้ป่วยทำไว้

ภรรยาบอกว่า ไม่ค่อยอยากดูแลในสภาพป่วยเเบบนี้เลย ทำใจไม่ได้...สงสารเขา

อาตมาเลยชวนคิดว่า "วันนั้นโยมผู้ป่วยที่ดูแลแม่ยายอย่างดี ก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันกลับมามีคุณค่ายิ่งในใจเรามาตลอดการครองเรือนร่วมกันและคงมีในใจโยมต่อไปเลยนะ

 วันนี้เขาป่วยเช่นนี้  เราจะมาช่วยกันดูแลเขาด้วยกันนะ
ดูแลเขาแบบที่เขาได้เคยทำกับแม่เรา.....ให้รางวัลเขาที่เขาทำดีมาทั้งชีวิตเพื่อโยมกัน.....เราจะทำสิ่งนี้กันไหม??

สุดท้ายขอทำบุญ ขอรับศีล๕  โยมผู้ป่วยพยายามประนมมือและให้สัญญาณว่ารับรู้และได้เห็นถึงโยมพยายามจะได้ทำภาวนาตามที่พระบอก.....

"วันนี้ได้มีสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้วนะ"....และมันยิ่งใหญ่กว่าที่โยมคิดอยากได้ไหมนะที่ตอนนี้....สามีโยมที่ป่วยมีพระ มีหมอ มีพยาบาล มีภรรยา มีเพื่อน  มีกัลยาณมิตร มีเพื่อนมนุษย์และสำคัญที่สุดคือยังมีลมหายใจนี้เพื่อโยมในปัจจุบัน.....เราจะกลับมารักษาใจนี้ไปด้วยกันนะ"

"ภาพที่เห็นคือทุกคนมีน้ำตาแห่งความดีงามของแต่ละคนไหลออกมา....อาตมารับรุ้ได้เลยว่านี่คือพลังที่วิเศษจากความดี ที่น่าปิติตาม"......ก่อนลาโยมกลับ