25 พฤศจิกายน 2562

ปฏิจจสมุปบาท



การพยายามอธิบายให้ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทนี้ ได้มีการพยายามทำกันมาช้านาน จนถึงพยายามอธิบายให้เข้าใจในอาการ ๑๒ โดยเขียนเป็นภาพก็มี ดังที่ปรากฏอยุ่ในภาพปฏิจจสมุปบาทที่เกิดมาทางสายมหายานช้านาน แสดงอาการทั้ง ๑๒ นั้นเป็นภาพ โดนที่แสดงเขียนเป็นภาพไว้ดังนี้

ผู้หญิงแก่ตาบอดเดินหลังค่อมยันไปด้วยไม้เท้าได้แก่ อวิชชา ก็เพราะว่าไม่รู้ไม่เห็นจึงเทียบได้กับคนตาบอด

คนปั้นหม้อกำลังปั้นหม้อเทียบด้วย สังขารเพราะว่าสังขารก็คือการปรุงแต่ง จึงเทียบกับการปั้นหม้อ

วานรผู้กระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งเทียบด้วย วิญญาณ เพราะวิญญาณตามที่ได้อธิบาย เมื่อเป็นจุติวิญญาณก็เคลื่อนจากอารมณ์หรือจากภพชาติอันหนึ่งไปอุปบัติคือเข้าถึงอารมณ์หรือภพชาติอีกอันหนึ่ง ดังที่เรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ จึงเทียบได้กับวานรที่กระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปถึงต้นไม้อีกต้นหนึ่ง

คนพายเรือจ้างซึ่งรับคนโดยสารไปในเรือจ้างเทียบกับ นามรูป ก็เพราะว่านามรูปนั้นต้องอาศัยกัน นามก็ต้องอาศัยรูป รูปก็ต้องอาศัยนาม เหมือนอย่างเรือกับคนพายเรือและคนโดยสารที่ต้องอาศัยกัน

บ้านที่มี ๖ หน้าต่าง หน้าต่างทั้ง ๖ เทียบด้วย สฬายตนะ ก็เพราะต้องมีอายตนะ ๖ จึงจะรับอารมณ์สัมผัสต่อไปได้

บุรุษและสตรีที่รักใคร่กันเทียบด้วย ผัสสะ เพราะผัสสะก็คือความกระทบจึงเทียบด้วยบุรุษและสตรี ซึ่งต้องการสัมผัสของกันและกัน

คนที่ถูกลูกศรติดลูกตาอยู่ เทียบด้วย เวทนาเพราะเวทนาก็คือการเสวยอารมณ์ จึงต้องการแสดงถึงลักษณะที่เสวยอารมณ์ให้เห็นชัด

คนติดสุราผู้กระหายหิวเทียบกับ ตัณหา เพราะแสดงถึงความกระหายต้องการอย่างแรง

คนกำลังปลิดผลไม้จากต้นไม้เทียบได้กับอุปาทาน เพราะแสดงถึงความยึดถือ

หญิงมีครรภ์เทียบด้วย ภพ เพราะต้องการแสดงถึงภพคือกามภพเป็นต้น อันเป็นปัจจัยสืบต่อไปถึงชาติ คือความเกิด จะมีชาติคือมีความเกิดก็ต้องตั้งครรภ์ขึ้นมาก่อน คือจะมีภพขึ้นก่อน

หญิงที่กำลังคลอดบุตรเทียบกับ ชาติ คือความเกิด

ภาพคนแก่และศพคนตายเทียบกับ ชรา มรณะ

 ภาพกาลจักร หรือ ภวจักร เป็นภาพที่มุ่งหมายแสดงให้รู้ว่าทุกข์เกิดและดับอย่างไร อันเป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนเรา มีความรวดเร็ว รุนแรงเหมือนสายฟ้าแลบ ทั้งนี้เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ว่าด้วย อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท อันเป็นพระธรรมสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอย่างลอยๆ ต่างล้วนอาศัยพร้อมกันแล้วเกิดขึ้นในลักษณะ ๑๒ ห่วงโซ่อาการแห่งจิต

ภาพมุมด้านขวามือ เป็นภาพพระบรมศาสดาทรงชี้ให้เราเห็นภัยแห่งสังสารวัฏฏ์ ซึ่งกักขังปวงสัตว์ ซึ่งรวมทั้งคนเราให้ตกอยุ่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน

ภาพยักษ์ที่กัดกินวงกลม หมายแทนกาลเวลา กะโหลกผี ๕ กะโหลก หมายแทนขันธ์ห้าที่ประกอบด้วยอุปาทานว่าเป็น ตัวเรา และ ของเรา หมายความว่าเมื่อใดที่จิตสำคัญมั่นหมายว่าเป็น ตัวเรา และ ของเรา ขณะนั้นจะถูกกาลเวลากัดกินให้เป็นทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลาที่ยึดถือว่ามี ตัวเรา อยู่ ซึ่งพื้นฐานเดิมของจิตนั้นมีลักษณะว่างจาก ตัวเรา หรือเรียกจิตเดิมนี้ว่า จิตประภัสสร

ภาพวงกลมใหญ่ทั้งหมด หมายแทนอาการของจิตในขณะที่ยักษ์กัดกินโดยแสดงเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ ๔ ชั้น

วงกลมเล็กในสุด ภาพงูกำลังกัดหางไก่ ไก่กำลังกัดหางหมู หมูกำลังกัดหางงู หมุนเวียนกันเรื่อยไปต่อเนื่องกันไม่สิ้นสุด แสดงให้เห็นถึงอำนาจของกิเลสอันมีอกุศล คือ โลภ โกรธ หลง เป็นมูลเหตุ มาทำให้จิตเดิมที่ประภัสสรนั้นหมองไปตามอำนาจ กระทำหมุนวนเวียนเป็นวงกลมซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นวงจรแห่ง กิเลส กรรม วิบาก อันเป็นวัฏฏสงสารที่กักขังสัตว์ให้เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน

วงกลมเล็กถัดออกมา แสดงถึงสิ่งที่เป็นไปตามกิเลส กรรม วิบาก หล่อเลี้ยงวัฏฏสงสารให้หมุนเวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด แบ่งวงกลมเป็น ๒ ซีก ซีกดำหมายแทน บาป นรก ความชั่ว ความทุกข์ ฯ อันเป็นสภาพแห่งกรรมข้างฝ่ายดำ ส่วนซีกขาว หมายแทนบุญ สวรรค์ ความดี ความสุข ฯ หมายถึงกรรมข้างฝ่ายขาวที่มีความละอาย เกรงกลัวบาป แต่ยังยึดถือบุญ สวรรค์ ความดี ความสุข ว่าเป็น ตัวเรา และ ของเรา จึงไม่สามารถหลุดพ้นไปสู่ความเป็นอิสระที่เหนือกรรมทั้งดำทั้งขาวได้

วงกลมถัดออกมา แบ่งเป็น ๕ ส่วน แสดงให้เห็นว่าในวันหนึ่งๆเมื่อใดที่จิตของเรามีการกระทบอารมณ์ แล้วตอนนั้นจิตขาดสติปัญญา จิตจะสำคัญขึ้นว่าเป็น ตัวเรา จิตก็พร้อมจะมีสภาพผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนว่ายวนเกิดในสภาวะแห่งภูมธรรมต่างๆ ๕ ภูมิ ได้แก่ ภูมิมนุษย์ เมื่อคิดเห็นเป็นอยู่สมมนุษย์ ภูมิเปรตเมื่อมีแต่ความทะยานอยากไม่รู้จักพอ ภูมินรกเมื่อมีแต่ความวิตกทุกข์ร้อนหรือหนาวยะเยือกในใจไม่รู้จักสงบเย็น ภูมิเดรัจฉานเมื่อทุกเมื่อเชื่อวันนั้นหมกมุ่นอยุ่แต่กับดิรัจฉานวิสัย คือ กิน ขี้ขลาด สืบพันธุ์ นอน และภูมิเทวดา ที่แม้จะละอายและเกรงกลัวบาปแต่ก็ยังติดดีและสุข เที่ยวเสาะแสวงหารบพุ่งแย่งชิงระหว่างกันอยู่เสมอ

วงกลมนอกสุด แสดงถึงมูลเหตุที่ทำให้สัตว์ยอมจมอยู่ในห้วงแห่งวัฏฏสงสาร ด้วยห่วงโซ่อาการของจิตที่ต่อเนื่องกัน ๑๒ ห่วง คือ อวิชชา แสดงด้วยภาพเด็กที่ไม่รู้นำทางคนแก่ตาบอดที่ไม่เห็นแล้วคิดปรุงแต่งตามวิสัยคนปั้นหม้อ (สังขาร) ต่อๆกันไป ตามกระแสแห่ง วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ ซึ่งกล่าวโดยสรุปแล้ว เพราะอวิชชาตัวเดียวเท่านั้น หนุนเนื่องให้ปรากฏขั้นตอนต่างๆอย่างฉับพลันพร้อมกันจนเป็นทุกข์

ภาพล้อธรรมจักร ๑๒ ซี่มุมบนซ้ายมือ ที่พระบรมศาสดาทรงชี้ทางแก่สานุศิษย์ หมายถึงวิธีการที่จะปฏิบัติเพื่อให้หลุดออกมาเสียได้จากสังสารวัฏฏ์ ซึ่งกักขังสัตว์เอาไว้ให้จมอยุ่ในห้วงแห่งความทุกข์ หมายแทนอริยสัจจ์ ๔ หรือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ พร้อมด้วยกิจที่จะต้องปฏิบัติอย่างละ ๓ รวมเป็น ๑๒ ซึ่งหมายถึงการรู้และเข้าใจในทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การหมดสิ้นทุกข์เสียได้ และการปฏิบัติตามหนทางอันประเสริฐ ๘ ประการเพื่อการดับทุกข์ ด้วยปัญญารุ้เท่าทันสภาพและกระบวนแห่งจิตในทุกขณะ มีอินทรียสังวรและกำลังพร้อมต่อทุกขณะแห่งผัสสะมิให้ไหลวนไปตามอำนาจแห่งอวิชชาจนเป็นทุกข์"

https://www.gotoknow.org/posts/498568

The Giving

              https://youtu.be/zFpL37vERow
เพิ่มคำอธิบายภาพ


10 ปีคิลานธรรม