29 เมษายน 2560

การพลัดพราก

การพลัดพรากนำมาซึ่งความวิปโยคของชีวิต 

หยาดน้ำตาแห่งความเศร้าโศก สูญเสียไม่เคยแห้งเหือด 

โลกนี้มีความพลัดพรากหลากรูปแบบที่ไม่อาจคาดเดาได้ 

เมื่อคนเราพลัดพรากจากสิ่งที่รักย่อมเป็นทุกข์

รักมากก็ทุกข์มาก

 

ความรักและความผูกพัน

เป็นกับดักแห่งความพลัดพราก

เช่นเดียวกับการพบเป็นจุดเริ่มต้นของการพลัดพราก 

หากไม่พบกันก็ไม่ต้องรักกัน 

เมื่อไม่พบกันก็ไม่ต้องผูกพันกัน

ไม่มีเรื่องราวต่อกันที่ทำให้การพลัดพรากมีความหมาย

 

คงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง

การพบพานและการพลัดพราก 

เพราะเราต้องสื่อสารกับผู้อื่น ต้องสัมพันธ์กับสิ่งอื่น 

ผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในความทรงจำ 

บางคนพบเพื่อผ่านเลย ไม่มีความหมายใดกับชีวิต 

บางคนไม่พบเสียแต่แรกก็ได้

ไม่มีความจำเป็นใด ๆ 

 

บางคนมีเรื่องราวหลากหลาย

ที่ทำให้ชีวิตเราพลิกผัน เปลี่ยนแปลง 

บางคนมีความหมายงดงาม

เป็นแรงดลใจที่เบิกบาน ร่มเย็น

 

บางคนมีแต่สิ่งดี ๆ  มาให้

เหมือนดอกไม้สวยงาม

 เพื่อที่ทุกคนจะจากไป

ในความเงียบงันของกาลเวลา

 

การพลัดพรากนำมาซึ่งความโศกสลด

หยาดน้ำตา และความสิ้นหวัง 

เมื่อเผชิญกับความพลัดพราก 

เรามักมองเห็นแต่ความทุกข์ของตัวเอง

ที่ยิ่งใหญ่กว่าขุนเขา 

ทั้งที่เป็นเรื่องธรรมดาของโลก 

 

ไม่มีใครไม่เคยพลัดพราก

ไม่มีใครไม่เคยสูญเสียสิ่งที่รัก คนที่รัก 

เพราะมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตนิรันดร์

และความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ  ของมนุษย์

ก็ไม่เที่ยงแท้ ยั่งยืน 

ความรู้สึกนึกคิดที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน 

ทำให้คนเราเปลี่ยนไปเสมอ

 

ความพลัดพราก เป็นเพียงสัญญาณเตือนใจ

ให้เราได้คิดถึงเรื่องความเป็นไปของชีวิตที่ไม่จีรัง  

ความพลัดพรากกำลังบอกสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่

เรื่องความเป็นธรรมดาของชีวิต

จงเผชิญความพลัดพรากด้วยใจสงบ

11 เมษายน 2560

สงบ

"สิ่งใดพร่อง .... สิ่งนั้นดัง
สิ่งใดเต็ม  .... สิ่งนั้นเงียบ "

----------------------

4 เมษายน 2560

•ไม่มีมิตรสหายใดจะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความรู้
•ไม่มีศัตรูใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความเจ็บไข้ได้ป่วย
•ไม่มีความรักใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความรักของพ่อแม่
•ไม่มีอำนาจใด  จะยิ่งใหญ่เกินกว่า กฏแห่งกรรม
•ไม่มีคุณงามความดีใด   จะยิ่งใหญ่เกินกว่า ความกตัญญู-กตเวทิตา

ที่คนเราได้มาเจอกัน...ไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ"
พระพุทธศาสนานี้สอนแต่ว่า....ทุกสิ่งมีเหตุมีปัจจัยอยู่ภายใต้เงื่อนไขของ 'อิทัปปจยตา'
และด้วย "บุญ" ที่เคยร่วมทำกันมา

ไม่ต้องเรียกร้อง...ถึงเวลาก็มาเจอกัน
แต่เมื่อสิ้นวาสนา.....เวลาใด
ก็ต้องจากกันไป...รั้งอย่างไรก็ไม่อาจอยู่

ดังนั้น.....
ในตอนนี้ที่เรา......ยังไม่จากกัน
#เราได้กระทำดีต่อคนที่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเราแล้วหรือยัง...???

เพราะเมื่อถึงวันนึงที่ธรรมชาติมาทวงทุกสิ่งคืนจากเราวันใด
ไม่ว่าเราจะมีเงินหรือมีอำนาจจนล้นฟ้าเพียงใด
เราก็ไม่สามารถเรียกร้อง ต่อรองกับพญามัจจุราชและกฏแห่งกรรม
เพื่อขอให้กลับมาแก้ไขแก้ตัวใดๆได้
และไม่รู้ว่าจะกี่ภพกี่ชาติ.......ถึงจะได้เจอกันอีก                                  
#เช่นนี้แล้วโยมทั้งหลายควรต้องทำเช่นใด....
#อาตมาเชื่อว่าคงตอบตัวเองกันได้นะ

-ด้วยสาราณียธรรม-
....ชุตินฺธโร นาม......